วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความลี้ลับแห่งดินแดนไอยคุปต์



ตำนานความลี้ลับแห่งดินแดนไอยคุปต์  ยังคงเป็นปริศนาที่น่าสนใจมาจนกระทั่งทุกวันนี้  การค้นหาอดีตอันรุ่งโรจน์ของชาวไอยคุปต์ ถือเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีทุกคนต่างใฝ่ฝัน ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาจะได้พบโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้  จนทำให้หลายคนต่างลืมเลือนความน่าสะพรึงกลัวของดินแดนแห่งนี้ไปจนหมด
แม้ดินแดนไอยคุปต์จะล่มสลายมานานหลายร้อยปี
และยังเป็นที่เลื่องลือเกี่ยวกับอาถรรพ์แห่งคำสาป  แต่สิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ   ต่างพากันมาเยือนดินแดนแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย  รวมทั้ง  คริส  แม็คคลอเวล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ  ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับตำนานของดินแดนแห่งนี้มานานหลายปี
จนกระทั่ง ในปี 1980  คริสก็ได้เดินทางไปเยือนดินแดนไอยคุปต์เป็นครั้งแรก  และสถานที่ที่เขาเลือกจะไปค้นหาปริศนาของดินแดนแห่งนี้ก็คือ เมือง ตานิส  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนล่าง ทางทิศตะวันออกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์


หลังจากที่ได้อ่านประวัติของ นายออกัสต์ มาเรียตเต นักโบราณคดีที่เดินทางมาสำรวจเมืองตานิสเป็นคนแรก  คริสก็เริ่มสนใจเมืองนี้ขึ้นมาทันที  เขามั่นใจว่าภายใต้พื้นดินบริเวณนั้น จะต้องมีโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
ปฏิบัติการสำรวจเมืองตานิส  หนึ่งในหลายอารยธรรมอันรุ่งเรื่องของดินแดนไอยคุปต์  ได้เริ่มขึ้นด้วยการที่ คริส เดินทางมาขออนุญาตทางการของประเทศอียิปต์ 
 
  เพื่อขุดสำรวจเมืองดังกล่าว ในตอนแรกทางการอียิปต์ปฏิเสธ  เพราะเห็นว่าเมืองแห่งนี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก  จึงไม่ต้องการให้ใครเข้าไปล่วงล้ำ   ซึ่งยิ่งสร้างความสนใจใคร่รู้แก่คริสมากขึ้น  เขาพยายามติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางราชการของอียิปต์อยู่หลายครั้ง  จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจเมืองตานิสได้
 
คริสได้จ้างวานนักสำรวจอีก 3 คน  ให้เข้าไปช่วยเขาขุดค้นหาโบราณวัตถุอันมีค่า ยังบริเวณกำแพงแห่งหนึ่งของเมืองตานิส  โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางการอียิปต์ ร่วมเดินทางไปในคณะสำรวจครั้งนี้ด้วย 2 คน คริสเชื่อว่าบริเวณกำแพงแห่งนี้  น่าจะเป็นที่ตั้งสุสานของฟาโรห์ หรือสุสานของเชื้อพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ไอยคุปต์ก็เป็นได้  

การขุดค้นได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  และวันหนึ่งพวกเขาก็ขุดพบโพรงขนาดใหญ่พอสมควรซ่อนตัวอยู่ใต้ซากกำแพงแห่งนี้ ในครั้งแรกพวกเขาดูไม่ค่อยสนใจกับมันซักเท่าไหร่ แต่พอยิ่งขุดลึกเข้าไป พวกเขาก็เจอเข้ากับซากของปล่องไฟเล็กๆ  ซึ่งเห็นได้ชัดว่า  มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับใช้ในสุสานอย่างแน่นอนคณะสำรวจยังคงก้มหน้าก้มตาขุดค้นบริเวณโดยรอบต่อไป  และในที่สุด 
 
 พวกเขาก็เจอกำแพงทึบซึ่งมีประตูกั้นอยู่  จึงช่วยกันพังประตูบานนั้นเข้าไป ทำให้เศษอิฐ เศษหินพังทะลายเข้าไปทับถมอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก  แต่ก็ยังพอมองเห็นทางเดินขนาดกว้างพอประมาณ  ที่ทอดยาวไปสู้ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง 
 
ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สำหรับพิธีการทำศพ  บริเวณกลางห้องมีแท่นขนาดใหญ่ทำด้วยเงินตั้งอยู่  ซึ่งมีหีบบรรจุเครื่องนุ่งห่มของกษัตริย์วางซ้อนอยู่ข้างบนด้วย แม้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นจะเปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา แต่มันก็ยังมีคุณค่าในสายตาของนักสำรวจทุกคน นอกจากนี้พวกเขายังพบหีบขนาดเล็กที่ทำด้วยเงิน  รูปสลักของเทพเจ้า  เครื่องเงิน  เครื่องทอง  และสิ่งของประดับอันมีค่าเป็นจำนวนมาก

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ของทางการอียิปต์  ได้ทำการจดบันทึกการค้นพบในครั้งนี้ไว้เป็นหลักฐาน  เพื่อทำรายงานต่อไป ไม่มีใครได้ทันสังเกตว่า คริสได้แอบหยิบกำไลเงินอันหนึ่งติดมือมาด้วย เพราะเขารู้สึกว่า  มันน่าจะเป็นของที่ระลึก  สำหรับการเดินทางมาค้นหาปริศนาอันเร้นลับของดินแดนไอยคุปต์  ที่เขาจะนำไปอวดคนที่รู้จักได้เป็นอย่างดี


หลังจากนั้นคณะสำรวจทั้งหมดก็เดินทางกลับ   ขณะที่คริสก็รีบตีตั๋วเครื่องบินกลับประเทศอังกฤษทันที  พร้อมกับตั้งใจจะนำกำไลเงินที่แอบหยิบติดมือมาได้ ไปอวดแดนนี่  เพื่อนสนิทของเขา แต่เมื่อเดินทางมาถึงอังกฤษ ซึ่งตรงกับช่วงเวลากลางคืนพอดี  คริสจึงต้องตรงกลับบ้านก่อน  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโทรไปบอกแดนนี่ไว้ก่อนว่า  วันรุ่งขึ้นเขามีสิ่งของบางอย่างจะนำไปอวด


ระหว่างที่คริสกำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนนั้น  เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังรื้อค้นห้องนอนของเขาอยู่  คริสจึงเปิดประตูออกมาดู  แต่ก็ไม่เห็นใคร  หลังจากอาบน้ำเสร็จ  คริสก็รื้อเสื้อผ้าออกมาจัดเข้าตู้ให้เรียบร้อย  แล้วก็หยิบกระเป๋าใบเล็กซึ่งใส่กำไลเงินออกมาดู  แต่เมื่อเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากลับไม่พบกำไลอยู่ในนั้น คริสเริ่มสงสัยว่า กำไลมันหายไปได้อย่างไรกัน เขาลองค้นหาจนทั่วก็ไม่เจอ จึงพยายามทบทวนความทรงจำว่า  ได้เก็บกำไลไว้ที่ไหนกันแน่  แต่เขาก็มั่นใจว่า  ได้ใส่มันลงกระเป๋าใบเล็กเองกับมือ รุ่งเช้า  แดนนี่โทรมาหาคริสเพื่อทวงถามถึงสิ่งของ  ที่คริสสัญญาว่าจะนำไปให้ดู  ซึ่งคริสต้องบอกความจริงกับเพื่อนไปว่า  เขาได้นำกำไลซึ่งเป็นสมบัติของชาวไอยคุปต์ติดมือกลับมาด้วย  แต่ว่าตอนนี้มันได้อันตรธานหายไปแล้ว  แดนนี่จึงรีบตรงมาหาคริสที่บ้าน  และช่วยกันค้นหากำไลอันนั้นอีกครั้ง 

ในระหว่างที่ทั้งสอง  กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นสิ่งของภายในห้องนอน  แดนนี่ก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง  เขาจึงหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาเปิดดูข้างใน  แล้วก็พบกำไลเงินอันหนึ่งอยู่ในนั้น เขาจึงหันไปถามคริสเพื่อความแน่ใจว่า ใช่กำไลอันที่คริสพูดถึงรึเปล่า พอคริสเห็นกำไลอันนั้นอยู่ในกระเป๋า  เขาก็ถึงกับยืนตาค้าง  เพราะแน่ใจว่า เขาได้ค้นดูในกระเป๋าใบนั้นทุกซอกทุกมุมแล้ว  ไม่มีทางที่กำไลอันใหญ่จะเล็ดรอดสายตาของเขาไปได้  แล้วมันกลับมาอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไรกัน

คริสเริ่มเอะใจขึ้นมาว่า  จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล  เกี่ยวกับกำไลอันนี้อย่างแน่นอน  เขาเริ่มนึกถึงอาถรรพ์คำสาปอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไอยคุปต์ขึ้นมาทันที ด้วยความกลัวคริสจึงบอกกับแดนนี่ว่า เขาจะนำกำไลกลับไปคืนไว้ที่เก่า  แต่ยังไม่ทันที่คริสจะได้ทำเช่นนั้น  คืนวันเดียวกันนั่นเอง  ขณะที่เขากำลังนอนหลับอยู่ในห้อง  จู่ๆเตียงของเขาก็สั่นไปมาอย่างแรง  ทำให้ร่างของคริสกระเด็นลงมากองอยู่กับพื้น

คริสลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่ง  แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับอันมีค่าคล้ายกับคนสมัยโบราณ  กำลังมองมาที่เขา จากนั้นชายคนดังกล่าว ก็เอื้อมมือมาจับคอของคริสไว้  และค่อยๆยกร่างของเขาขึ้นสูงจากพื้นทีละนิด ทีละนิด  จนเกือบชิดเพดานห้อง 

 ขณะที่คริสเริ่มตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว  และพยายามร้องขอชีวิต  แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้น จะฟังที่คริสพูดไม่เข้าใจ    เขายังคงเหวี่ยงร่างของคริสหมุนไปทั่วห้องด้วยความเมามัน      จากนั้นก็ปล่อยให้ร่างของคริส กระเด็นไปกระแทกกับผนังห้องอย่างแรง  ส่งผลให้เขาถึงกับสลบเหมือดไปทันทีที่คริสรู้สึกตัวขึ้นมา หลังจากที่เพื่อนบ้านมาเห็นเหตุการณ์เข้า และรีบพาตัวเขาส่งโรงพยาบาล  คริสก็พบว่าอาการของตัวเองอยู่ในขั้นโคม่าเสียแล้ว ในขณะนั้นเขารู้สึกว่า ความเจ็บปวดมันกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา แม้แพทย์จะฉีดยาเพื่อบรรเทาอาการปวดให้  แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ทุเลาเบาบางลงเลย  คริสเริ่มรับรู้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตขึ้นมาในทันที 

อย่างไรก็ตาม  คริสยังพยายามติดต่อกับแดนนี่  เพื่อขอร้องให้แดนนี่นำกำไลอันที่เขาขโมยมา ไปคืนยังที่เดิม เพราะคริสแน่ใจว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมด ต้องเกิดจากอาถรรพ์คำสาปอันน่าสะพรึงกลัวแห่งดินแดนไอยคุปต์อย่างแน่นอน แม้ว่าการนำกำไลอันนั้นไปคืนยังเจ้าของ จะไม่ได้ช่วยยื้อชีวิตของเขาขึ้นมาจากความตายได้  แต่คริสก็รู้สึกว่ามันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว  เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครต้องมารับเคราะห์  จากอำนาจอันลี้ลับแห่งไอยคุปต์  เช่นเดียวกับเขาอีกต่อไป


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น