ชาว "สุเมเรียน" ผู้ลึกลับ ที่บอกว่าพระเจ้าของเค้ามาอวกาศ

ชาวสุเมเรียนที่ค้นพบว่าดาวนิบิรุกำลังมาเยือนโลกและเฉี่ยวชนโลก ปี2012
 สุเมเรียนเป็นชนชาติใดไม่มีหลักฐานที่ระบุชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชชาวสุเมเรียนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่านและเข้ามาตั้งถิ่นฐานตรงบริเวณดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) ปากแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส ซึ่งในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า ดินแดนซูเมอร์ (Sumer) ปัจจุบันคือดินแดนทางตอนใต้ของกรุงแบกแดดลงมาถึงอ่าวเปอร์เซีย


ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อในการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละนครรัฐจะมีเทพเจ้าประทับอยู่ในวัดใหญ่ที่เรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) ซึ่งชาวสุเมเรียนเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของนครรัฐ ในระยะแรกพระจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆ ในนครรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษี อาหาร 
ตลอดจนควบคุมดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไร่นา ต่อมาเมื่อเกิดการรบกันระหว่างนครรัฐ 
อำนาจการปกครองจึงเปลี่ยนมาอยู่ที่นักรบหรือกษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถปกป้องนครรัฐได้
 โดยจะทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ แทนพระ
          สุดท้ายแล้วชาวสุเมเรียนในสมัยของลูการ์ ซักกิซซี (Lugal Ziggissi) ก็ถูกซาร์กอนมหาราช ผู้นำชาวอัคคาเดียนรุกรานจนต้องล่มสลายไป
          
ในระยะแรกชุมชนจะเป็นแบบหมู่บ้านยุคหินใหม่ ต่อมาหมู่บ้านก็ได้ขยายตัวขึ้นเป็นชุมชนวัด และกลายเป็นเมืองตามลำดับ
 เมืองที่มีความสำคัญ ได้แก่ เมืองเออร์(Ur) เมืองอิเรค (Ereck) เมืองอิริดู (Eridu) เมืองลากาซ (Lagash) 
และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) แต่ละเมืองจะมีชุมชนเล็กๆรายรอบอยู่ ทำให้มีลักษณะคล้ายรัฐขนาดเล็ก เรียกว่า นครรัฐ (City State) นครรัฐเหล่านี้ต่างปกครองเป็นอิสระต่อกัน บางครั้งก็จะรบกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ 

เรื่องราวเกิดขึ้นจาก การอ้างถึงการสำรวจพบดาว Nibiru โดยกลุ่มชนชาวสุเมเรียน(Sumerians) ที่กลับมายังโลก และมีการทำนายความหายนะ จะเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ.2003

แต่เมื่อถึงเวลานั้นกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตลอดเดือน จึงเลื่อนวันเกิดเหตุการณ์ไปในเดือน ธันวาคม ค.ศ.2012 และเปรียบว่า เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าพิพากษามนุษย์ทั่วโลก (Doomsday date)
เป็นการเชื่อมโยงนิทานชาดกโบราณ กับเรื่องปฎิทินชาวมายาโบราณ
(Ancient Mayan calendar) ให้ตรงกับ Winter solstice ประมาณวันที่ 21 ธันวาคมของทุกๆปี อันเป็นวันแรกของเหมันตฤดูหรือฤดูหนาว และ
ดวงอาทิตย  
 มีตำแหน่งห่างจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด



การนำวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 มากำหนดให้มีความน่าสนใจ จุดประสงค์ให้คน
ทั่วไปได้ขบคิด เพื่อเพิ่มน้ำหนักเหตุผลของวันสิ้นโลก

ฟัง ดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนาน เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงบ้าง เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA


ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??
ภาพนี้ได้มา จากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามาเยือน ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริงสำหรับใครที่สนใจเรื่องราวเล่านี้สามารถหาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆ บางแห่ง


ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้น เจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของโครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?


มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงคะ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง

แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อาฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆ มาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย  เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก
ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก

เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท)

จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า 
คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่


อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่มที่ชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช


ประดิษฐ์ตัวอักษร  อักษรที่บันทึกเรียกว่า  อักษรลิ่ม  หรือ  คูนิฟอร์ม 
อักษรลิ่มเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาวสุเมเรียนนำเอาไม้สลักลงบนแผ่นดินเหนียวเปียกเป็นสัญลักษณ์ 
การประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นประโยชน์ต่อศาสนกิจ  การบันทึกของพวกพระ  เช่นบัญชีรับจ่าย 
บทบัญญัติทางศาสนา 




  ตัวอักษร เป็นตัวอักษรเครื่องหมาย หรือเรียกว่า “อักษรรูปลิ่ม” หรือ “อักษรคูนิฟอร์ม” รูปร่างคล้ายตัววีในภาษาอังกฤษ


การปกครอง  ปกครองแบบเทวาธิปไตย อาศัยอำนาจของเทพเจ้า

เป็นเครื่องมือในการปกครอง มีอยุ่ด้วยกัน 2 กลุ่มคือ

 1) ลูการ์ คือทหารที่มาปกครอง


  2) ปาเตซี คือพระที่เป็นคนกลางระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ จึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง แต่ก็ไม่นานนัก



ภาพวาดและจารึกที่แสดงถึงความเชื่อของชาวสุเมเรียน


พระเจ้าของชาวสุเมเรียน เหมือนใส่ชุดอวกาศเนาะ


Enuma Elish

ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk 
โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม (ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่า) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง (นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆ น้อยของมันดีกว่า

ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆ ใจกับการโคจรแบบแปลกๆ ของดาวยูเรนัสคล้ายๆ กับมีปฏิกิริยากับแรงดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น


ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดาวยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?


ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆ ต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆ เลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโต เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย



นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X  มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดินเหนียว เมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru  เป็นที่ๆ พระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน


ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน เจ้าตำนานนี้แหละตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆ ไป ตามๆ กัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกัน มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่างหาก

หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้


ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบสุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982  เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"
แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย 



จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไง ถึงได้ 12 ดวง

จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลย โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ

ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?
ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?


หลายท่านอาจจะถามแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงล่ะ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่


เรื่องราวทั้งหลายเริ่มต้นจากการพยายามอ่านจารึกของชาวอัคเคเดียนที่มีอายุ ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Vorderasiatische Abteilung ในเบอร์ลินตะวันออก (ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนล่ะก็ลองถามหาแคตตาล็อกหมายเลข VA/243 จากภัณฑารักษ์เค้าดูนะ นายโซนิคเองคาดว่าคงไม่มีวาสนา) ตัวผนึก (Seal) มีรูปของวัตถุทรงกลม 11 ดวงรายล้อมทรงกลมดวงใหญ่ที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า ภาพลักษณะนี้เป็นที่คุ้นตานักโบราณคดีเป็นอย่างดี ว่ามันคือตัวแทนของระบบสุริยะตามความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณ...

...ระบบสุริยะที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง
หนังสือชุด 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงมหากาพย์แห่งการสร้าง Enuma Elish ว่ามหากาพย์นี้หาใช่เทพตำนานตามที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเข้าใจไม่ หากแต่เป็นประวัติศาสตร์การก่อกำเนิดของโลกราหูใบนี้ ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในรูปของเทพตำนาน ผู้ตีความต้องมีความเข้าใจทั้งในด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จึงจะจับจุดและ ตีความมันออกมาได้ (จริงไม่จริงพิจารณาเอานะ อย่าเผลอเป็นเนื้อชิ้นโตให้ตุ๋นเอาล่ะ ^^) มหากาพย์เรื่องนี้ซุกซ่อนความลับของดาวเคราะห์สีฟ้ากับบริวารที่มีนามว่าดวงจันทร์เอาไว้อย่างมิดชิด ความลับที่กล่าวถึงการชนกันอย่างมโหฬารของดาวเคราะห์สองดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันในนามของโลกหรือ Planet Earth...

ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่ถอดความมาจาก Seven Tablets of Creation ของดินแดนเมโสโปเตเมีย ชื่อของมันได้มาจากคำขึ้นต้นคำแรกของเรื่องคือคำว่า Enuma Elish ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า When in the heights

When in the heights…heaven had not been named…
And below, firm ground (Earth) had not been called.
เรื่องราวต่อจากนั้นของมหากาพย์ได้กล่าวถึงเทพเจ้าแห่ง สวรรค์ผู้ร่วมกันให้กำเนิดเทพองค์อื่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จำนวนของเทพเจ้าบนท้องฟ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทพรุ่นเยาว์เหล่านี้สร้างเสียงดังและความโกลาหลอยู่ไม่หยุดหย่อน 


ยังความรำคาญให้แก่บิดรเทพผู้ให้กำเนิดเป็นยิ่งนัก
ดี๋ยวเราจะมาไล่ลำดับของเทพเจ้าเปรียบเทียบกับลำดับของดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะกันใหม่ เทพแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วได้แก่
Sun-APSU
Mercury-MUMMU
Venus-LAHAMU
Mars-LAHMU
TIAMAT
Jupiter-KISHAR
Saturn-ANSHAR
Pluto-GAGA
Uranus-ANU
Neptune-NUDIMMUD (EA)
ไล่ดูนะว่ายังขาดดาวเคราะห์ดวงไหนในระบบสุริยะไปอีก เท่าที่ดูๆ แล้วก็น่าจะครบน่ะนะ ปฐมสมาชิกแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนในยุคปฐมกำเนิดก็ดูจะมีเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับแผนผังระบบสุริยะในปัจจุบันแล้วก็นับว่าเกือบครบ จะขาดไปก็เพียงแต่โลกของเราเท่านั้น...

เฮ้ย! แล้วโลก(รวมไปถึงดวงจันทร์)ของเราล่ะไปอยู่ซะที่ไหน โลกของเราไม่ใช่สมาชิกในช่วงปฐมกำเนิดของระบบสุริยะหรอกรึ?




ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขามาจากไหน อะไรที่ทำให้อารยธรรมของพวกเขาก้าวไกลไปขนาดนั้น ทั้งที่ถ้านับตามประวัติศาสตร์แล้ว ช่วงเวลาของพวกเขาคือช่วงที่เราเรียกกันว่า ยุคหิน...

นี่เป็นคำรำพึงรำพันของใครต่อใครที่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องราวของคนโบราณ ชาติหนึ่ง ชนชาติซึ่งเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งในบริเวณอ่าวเปอร์เซียเมื่อประมาณ 7-8 พันปีมาแล้ว คนรุ่นหลังทราบเรื่องราวของชนกลุ่มนี้จากจารึกดินเผาที่เรียกกันว่าคิวนิฟอร์ม ไม่มีใครทราบต้นตอความเป็นมา ทราบแต่เพียงว่า พวกเขามีวิทยาการและ เทคโนโลยีที่สูงส่งมาก ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัตถุ ซึ่งได้แพร่หลายไปยังชนเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาต่อมา และกลายเป็นรากฐานทางอารยธรรมของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราในที่สุด พวกเขาเรียกตนเองว่า ชาวสุเมเรียน

ย้อนหลังไปประมาณแปดพันปีก่อน ณ ลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส ดินแดนเหล่านั้นยังร้อนระอุ ไม่มีแร่ธาตุ ไม่มีป่าไม้ ไม่มีอะไรที่พอจะสร้างเป็นวัตถุเพื่อก่อความเป็นอารยธรรมเมืองขึ้นมาได้เลย แต่แปลกไหมว่า ดินแดนดังกล่าวนี้ กลับกลายเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมที่ศิวิไลซ์ที่สุดในยุคแรกของประวัติศาสตร์มนุษย์ หลักฐานที่นัก
โบราณคดี
ได้ รับในช่วงหลังๆ ชี้ให้เห็นว่า ที่นี่แหละ คือบ่อเกิดของอารยธรรมทั้งหลายในโลก ชาวสุเมเรียนเป็นผู้ให้กำเนิดตัวอักษรที่ใช้เขียนเป็นภาษาขึ้น มีเทคนิคในการเกษตร มีสถาปัตยกรรมที่สูงส่งตระหง่านตา ส่วนด้านสังคมนั้นเล่า ประมวลกฏหมายฉบับแรกของโลกในประวัติศาสตร์ก็คือกฏหมายของชาวสุเมเรียน พวกเขามีวรรณคดี มีดนตรีพื้นเมืองที่ฟังแล้วโมเดิร์นเหลือเกินเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน น่าประหลาดใจไหมว่า ชนชาติซึ่งไม่มีที่ไปที่มานี้ ไปเอาความรู้ความสามารถเหล่านี้มาจากไหน มันดูเกินยุคสมัยของพวกเขาเหลือเกิน เอาง่ายๆ แค่ว่า แม้จะปราศจากป่าไม้แหล่งวัตถุดิบในการสร้างเมือง ชาวสุเมเรียนก็ยังสามารถประยุกต์ใช้หญ้าและต้นอ้อมาทำเป็นอิฐดินเผาเพื่อสร้างเมืองได้ พวกเขาขุดคลองเพื่อทำการชลประทานจากแหล่งน้ำสำคัญในบริเวณนั้น คือลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส จนทำให้ดินแดนซูเมอร์กลายเป็นเสมือนว่า ที่นั่นคือสวนเอเดนแห่งตะวันออกกลางไป

อ้อ... แล้วทราบกันไหมว่า คำว่า 
Eden สวนสวรรค์ในพระคัมภีร์ มาจากคำว่า E.Din หรือ Eridu อันเป็นสถานที่ที่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่า พระเจ้าได้เสด็จลงมาตั้งรกรากบนโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วยAncient Astronaut ตอนนี้จะนำท่านจมดิ่งสู่ตำนานอันน่าพิศวงของคนโบราณ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาของนักบินอวกาศยุค โบราณ ผู้มีคุณูปการต่อชาวพื้นเมืองจนถูกยกย่องให้เป็น "พระเจ้า" ไปในที่สุด 



มาดูความเชื่อของชาวสุมเรียนที่น่าฉงนกันอีกสักตัวอย่าง เป็นความเชื่อที่สวนกระแสชาติอื่นเมืองอื่นเค้าน่าดูเลย กล่าวคือพวกเขาเชื่อมั่นในความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติ ตำนานของชาวสุเมเรียนมีว่า กาลครั้งหนึ่งมนุษย์เคยอยู่ร่วมกันเป็นชาติเดียว พูดจาภาษาเดียว สรรเสริญเทพองค์เดียวกันทั้งโลก (คล้ายกับเรื่องของหอคอยคนบาป - - บาเบล ในคัมภีร์ไบเบิลไหม?) เป็นสังคมที่ปลอดภัย สงบสุข คล้ายยุคพระศรีอาริย์ในคติพุทธ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ บ้านอื่นเมืองอื่นเค้าเชื่อกันว่า ยุคดังกล่าวจะมาถึงหลังวันสิ้นโลกบ้าง วันหมดกัลป์บ้าง แต่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันจะมาถึงหรอกในอนาคตน่ะ เพราะในอดีตมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ภายหลังจบสงครามแห่งทวยเทพแล้วยุคที่ว่าจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นอีกเลย ก็คงจริงของเค้านะ เพราะอาณาจักรสุเมเรียนก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้ยุคนั้นมาถึงจริง ชาวสุเมเรียนก็ไม่มีวันได้เห็นหรอก

ขอยกบทกวีของชนชาติซูเมอร์ที่อ้างอิงถึงยุคแห่งเอกภาพมาสักบท อ่านกันเล่นๆแล้วอย่าหมั่นไส้ล่ะ รายละเอียดนั้นก็มีอยู่ว่า

    Once upon a time...
    there was no snake, there was no scorpion,
    there was no hyena, there was no lion,
    there was no wild dog, no wolf,
    there was no fear, no terror,
    Man had no rival,
    Once upon a time...
    the whole universe, the people in unison,
    to Enlil is one tongue gave praise.

เป็นไงล่ะ ราวกับว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วบนโลกใบนี้ ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่พวกเรารู้จักจะอุบัติขึ้น สังคมมนุษย์ถูกปกครองโดยพระเจ้าผู้เสด็จลงมาจากห้วงอวกาศด้วยยานสีเพลิง นอกจากหลักฐานอันเป็นแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนแล้ว แถบนั้น ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอีกหลายชิ้น ที่ช่วยสนับสนุนทฤษฎี Ancient Astronauts ของเราเป็นอย่างดีเลย โดยไอ้เจ้าหลักฐานดังกล่าวนั้นได้แก่
  


  * ภาพวาดรูปก้นหอย อายุ 5 พันปีที่ จีฮอย ทีปิ
    * หินเหล็กไฟโบราณ อายุ 4 หมื่นปีที่ การี โคเบห์ และอายุ 2 หมื่นกว่าปีที่ บาราไดเสตียน
    * รูปภาพหลุมศพและเครื่องใช้ทำด้วยหิน อายุ หมื่นสามพันปี ที่ทีปิ อาฮิบ
    * โครง กระดูกผู้ใหญ่และเด็กซึ่งถูกพบที่ถ้ำชานเดียร์ ทั้งหมดนี้มีอายุประมาณ 450,000 BC ตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน 14 (ซึ่งคลาดเคลื่อนได้ง่ายมากนะจ๊ะ จะบอกให้) 


นอกจากหลักฐานดังกล่าวแล้ว ยังพบภาพของคนที่มีเครื่องประดับรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางรูปเป็นคนยืนอยู่บนรูปกลมที่มีปีก และแน่นอน รูปที่ขาดไม่ได้คือวงกลมเล็กๆ ที่มี่วงกลมเล็กกว่าโคจรล้อมรอบเป็นชั้นๆ อย่าง มีระเบียบ ซึ่งหากเด็กๆ ของเราได้เห็นเข้าล่ะก็ พวกเขาจะบอกได้ทันที่ว่า นั่นคือรูปของดาวฤกษ์และดาวบริวาร หรือยิ่งกว่านั้นก็เป็นรูปโครงสร้างอะตอมไปนู่นเลย

เห็นหลักฐานแล้วกลุ้ม เนื่องจากทุกอย่างบ่งบอกกับเราว่าเมื่อประมาณ 4-5 หมื่นปีก่อนในแถบเมโสโปเตเมียนั้น เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ถ้ำยุคหินเท่านั้นเอง แล้วจู่ๆ ชาวสุเมเรียนกลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างอารยธรรมขึ้นที่นั่น พร้อมวิทยาการ วัฒนธรรม และความรู้ทางดาราศาสตร์เสียเสร็จสรรพ ไม่มีพัฒนาการ มีไม่มีคำอธิบาย ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีต ทิ้งให้คนยุคใหม่อย่างพวกเราฉงนเล่นซะอย่างนั้นว่า ใครกันหนอคือต้นตอของความเจริญทางอารยธรรมเหล่านี้

ถ้าท่านอยู่กับเว็บไซต์นี้มานานพอ ก็อาจจะได้คำตอบอยู่ในใจแล้วว่า ในอดีตอันนานนมนั้น มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งซึ่ง (อาจจะบังเอิญหรือจงใจ) ลงมายังโลกมนุษย์ ได้พบกับคนป่าเถื่อนยุคหินบนโลก พวกเขาถ่ายทอดความรู้ อารยธรรม และความเป็นอยู่แบบสังคมเมืองให้ รวมไปจนกระทั่งถึง
การดัดแปลง
บางอย่างเกี่ยวกับพันธุกรรมของคนพื้นเมืองเพื่อให้มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้

รูปภาพพระเจ้าของชาวสุเมเรียนที่เราเห็นกันในหลายๆ ที่นั้น มีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างคือ สวมแว่นแบบช่างเชื่อมแก๊ส ศีรษะมนเป็นโดม ริมฝีปากบาง จมูกโด่งเป็นสัน ทำไมพระเจ้าของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบนั้น? 
หรือว่านั่นคือรูปร่างที่แท้จริงของพระเจ้า ที่พวกเขาเคยได้พบเห็นมากับตา ในยุคสมัยที่มนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนโลกใบนี้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว...








# พาหนะของทวยเทพ # "มนุษย์อินทรีย์" ของสุเมเรียน, "นาวาแห่งสวรรค์(Boat of Heaven)" ของอียิปต์, "วิมานะ" ของอินเดีย, "มังกรบิน" ของตะวันออกไกล, "พญางูมีปีก" ในอเมริกากลาง และบัลลังก์ลอยฟ้าที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆในจารึกของชนชาติฮีบรู ฯลฯ มันคืออะไร?

ที่มา Click

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ผมเพิ่งเห็นในสมาธิลืมตามาหาคำว่าสุเมเรี่ยน ทำเอาผมตะลึงไปเลย ผมเห็นทั้งดาว ทั้งงูยักษ์ เขายังบอกด้วยว่าเขาคือชาวสุเมเรี่ยน ตอนแรกงงๆว่าชื่อนี้เป็นของชนเผ่ามนุษย์โลก ทำไมเขาจึงบอกว่าพวกเขาคือสุเมเรี่ยน ผมได้อ่านบทความข้างบนนี้แล้วผมจึงรู้เรื่องราวที่พวกเขาสื่อมา ขอขอบคุณผู้ค้นหาบทความดีๆเหล่านี้ด้วยครับ ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากๆ

Alfa กล่าวว่า...

ผมสนใจเรื่องที่่คุณเล่าม อยากฟังต่อครับา

แสดงความคิดเห็น