วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พบแสงปริศนา ก่อนเกิดแผ่นดินไหวในพม่า เชื่อทดลองโครงการ Haarp

 



พบแสงปริศนา ก่อนเกิดแผ่นดินไหวในพม่า เชื่อทดลองโครงการ Haarp
Mthainews:   มีการเผยแพร่คลิปวีดิโอในเว็บไซต์ยูทูป โดยผู้ใช้ชื่อว่า  ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหว 6.8 ริกเตอร์ ที่มัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย เจ็บกว่า 40 คน

แสงประหลาดที่เกิดขึ้นยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า แสงดังกล่าวเกิดจากแหล่งกำเนิดใด นอกจากนี้แสงดังกล่าวยังสามารถเปลี่ยนสี ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปในบริเวณกว้าง

ทั้งนี้ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นการทดลองโครงการ Haarp (High Frequency Active Auroral Research Project) ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีจุดมุ่งหมายสำรวจทรัพยากรชั้นบรรยากาศโลก เพื่อพัฒนาระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม รวมไปถึงการศึกษาคุณสมบัติการสะท้อน (resonant properties) ของโลก และชั้นบรรยากาศของโลก

แต่โครงการดังกล่าวถูกประนามออกมาจากหลายประเทศว่า เป็นการทำร้ายมนุษยชาติครั้งใหญ่ ทำให้สภาพภูมิอากาศแปรปรวน รวมทั้งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลก จนเกิดแผ่นดินไหวตามมา และที่สำคัญ พวกเขาบอกว่า มันคืออาวุธทำลายล้างชนิดใหม่ที่บังคับสภาพดินฟ้าอากาศได้!!
อย่างไรก็ตาม แสงดังกล่าวยังคงเป็นปริศนา ต้องรอคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญว่า เกิดจากสิ่งใดกันแน่



เครดิตคลิ๊ก

คัมภีร์กุรอานยุคโบราณกลายเป็นคัมภีร์ต้องห้าม !



เยเมนอ้างพบอัลกุรอานเขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

یمن مدعی کشف قدیمی‌ترین قرآن دست‌ نویس دنیا شد

คัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุดของโลกได้ถูกพบในประเทศเยเมน

ตามการรายงานของสำนักข่าวอีสนา (ISNA) ; ชายชาวเยเมนผู้หนึ่งอ้างว่าได้พบต้นฉบับของพระคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุด แต่ได้ปฏิเสธที่จะส่งมอบวัตถุโบรานอันทรงคุณค่านี้

ตามการรายงานของเว็บไซต์ภาษาอาหรับ “adengulfnews”  ; บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลของเยเมนเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 56,000 ดอลลาร์เพื่อที่จะขอรับมอบต้นฉบับของคัมภีร์อัลกุรอานที่หายากนี้จากผู้ชายคนนี้ แต่เขาได้ยืนกรานที่จะเก็บรักษามันไว้ด้วยตัวเอง

เขาได้อ้างว่า ในขณะที่เขาได้ลงมาจากภูเขาลูกหนึ่งทางทิศใต้ของเมือง "ดะฮาล" เขาได้พบเห็นคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือนี้ถูกห่อหุ้มอยู่ในปกหนังซึ่งอยู่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง

การตรวจสอบต่าง ๆ ในเบื้องต้นที่กระทำต่อคัมภีร์อัลกุรอานฉบับนี้ได้ยืนยันถึงความเป็นของแท้และความเก่าแก่ของคัมภีร์เล่มนี้ และถือว่ามันเป็นต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

บนหน้าแรกของคัมภีร์อัลกุรอานฉบับนี้ถูกเขียนว่า : "ต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือนี้ได้ถูกเขียนขึ้นในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 200"

อักษร (ฮุรูฟ) ต่าง ๆ ที่ถูกใช้คัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือฉบับนี้ไม่มีจุด (นุกเฏาะฮ์) เหมือนกับที่มีอยู่ในภาษาอาหรับยุคปัจจุบัน และนี่คือสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ว่า คัมภีร์อัลกุรอานฉบับนี้เป็นของเก่าแก่ในยุคอดีต จุด (นุกเฏาะฮ์) ต่าง ๆ ได้ถูกนำเข้ามาใช้ในตัวอักษร (ฮุรูฟ) ต่าง ๆ ของภาษาอาหรับก็เพื่อที่จะจำแนกความแตกต่างของบรรดาตัวอักษรที่คล้ายคลึงกันในภายหลัง

ชายชาวเยเมนผู้นี้ยังได้อ้างอีกว่า นอกจากนี้ต้นฉบับของคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือนี้แล้ว เขายังได้พบดาบซุลฟิก๊อรที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้มอบเป็นของขวัญให้กับท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ.) อีกด้วย
เครดิตคลิ๊ก


โลกตะลึง คัมภีร์กุรอานยุคโบราณเผยโฉม!!!

ณ ประเทศเยเมน ได้มีการค้นพบต้นฉบับคัมภีร์เก่าแก่โบราณในสุเหร่าที่เมือง Sana’a แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้เป็นภาษาที่แม้แต่นักโบราณคดีแขกชาวเยเมนยังอ่านไม่ออก จึงต้องพึ่งพานักวิชาการฝรั่งชาวเยอรมันผู้ชำนาญด้านภาษาโบราณ ศาสตราจารย์ Gerd R. Puin จากมหาวิทยาลัย Zaarland ได้ถูกรับเชิญมาเพื่อการนี้โดยตรง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสุเหร่าที่ค้นพบ ศูนย์ศึกษาตำราโบราณได้ถูกสถาปนาขึ้น เพราะใคร ๆ ต่างก็อยากทราบว่า คัมภีร์เก่าคร่ำคร่าของบรรพบุรุษเหล่านี้ได้บอกเล่าเรื่องราวอะไรไว้กันแน่ นับว่าพระเจ้ายังเข้าข้างที่บนโลกใบนี้ยังมีคนอ่านออก ศาสตราจารย์ Puin และเพื่อนของเขา Grav V. Bothmer ได้ช่วยกันศึกษาชิ้นส่วนคัมภีร์ที่เขียนด้วยลายมือซึ่งหลุดเป็นชิ้น ๆ แล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ อัลกุรอานของชาวมุสลิม ที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างลึกลับตลอดพันกว่าปี

เก่าแก่กว่าฉบับปัจจุบันเสียอีก!!! ด้วยวิธีพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ Puin ได้ทดสอบด้วยวิธีคาร์บอน 14 แล้วพบว่า คัมภีร์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย ค.ศ. 645 – 690 ส่วนวิธี calligraphic บ่งชี้ว่าสร้างขึ้นประมาณ ค.ศ. 710 – 715 สรุปแล้วก็คือ เก่ากว่าต้นฉบับ Uthman ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาก ถือเป็นการหักล้างสมมติฐานที่ว่าคัมภีร์ฉบับปัจจุบันเป็นกุรอานฉบับดั้งเดิมขนานแท้ลงอย่างสิ้นเชิง

ย้อนยุคกุรอาน สอนอะไรไว้กันแน่..?
หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองได้ลงมืออ่านคัมภีร์กุรอานโบราณอย่างรอบคอบ โดยอ่านได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะภาษาที่ใช้มีความเก่าแก่มาก ภาษาที่ใช้ไม่ใช้ภาษาอาราบิคล้วน ๆ แต่ใช้ภาษาต่างชาติด้วยคือ Syriac Aramaic ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องราวในคัมภีร์กุรอานโบราณเป็นอย่างดี จึงจะพอแกะร่องรอยได้ เมื่อกูรูทั้งสองได้ศึกษาเปรียบเทียบกับคัมภีร์กุรอานที่แพร่หลายในปัจจุบัน ก็พบว่ามีความแตกต่างกันหลายอย่าง


เปลี่ยนแปลงไปจากของเดิม!!!
การศึกษาคัมภีร์กุรอานโบราณนี้ทำให้ทราบว่า คัมภีร์ฉบับที่ชาวมุสลิมศึกษาอยู่ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากของดั้งเดิม อันที่จริงแล้วเนื้อหาของคัมภีร์ประกอบไปด้วยเรื่องราวก่อนสมัยนบีมูฮัมมัดเกิด เป็นการเรียบเรียงประโยคแบบเขียน ไม่ใช่บันทึกคำพูด การแต่งเรียบเรียงนี้เองทำให้มีการปรับเนื้อหาหลายครั้ง ปรับแก้กันมาเรื่อย ๆ ตลอดยุคสมัย


ความลี้ลับกับอันตรายถึงชีวิต!!!การค้นพบความจริงจากการศึกษาคัมภีร์โบราณในเยเมนของ Puin และ Bothemer นั้นเป็นสิ่งที่ต้องปิดเป็นความลับมาโดยตลอดในขณะที่ยังอยู่ในเยเมน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะให้สังคมมุสลิมยอมรับสิ่งนี้ได้ และการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ก็อาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอข้อเท็จจริงที่พวกเขาค้นพบ เพราะอาจทำให้กลุ่มที่คลั่งศาสนาไม่พอใจได้

กลายเป็นคัมภีร์ต้องห้าม!!!
ทางการเยเมนก็ได้สั่งห้ามมิให้ Puin และ Bothmer ศึกษาวิจัยคัมภีร์โบราณนี้อีกต่อไป แต่โชคยังดีที่ทั้งสองท่านได้ถ่ายภาพชิ้นส่วนคัมภีร์ส่วนหนึ่งเอาไว้แล้ว และได้นำกลับมาศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์บทความทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับ ซึ่งPuin สรุปไว้อย่างน่าสนใจในรายงานของเขาว่า ความพยายามที่จะแปลคัมภีร์กุรอานโดยการใส่เครื่องหมายช่วยการอ่านเช่น (.) ลงไปสำหรับเผยแพร่ในหมู่ชาวมุสลิม ทำให้เนื้อหาต่างไป


ความจริงที่ท้าทายกาลเวลา...ความลับของเนื้อหาคัมภีร์กุรอานโบราณที่ทางการเยเมนพยายามปิดบังนักหนา มิให้ชาวมุสลิมด้วยกันได้รับรู้ ได้รับการชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาโดยศาสตราจารย์ Puin ผ่านหนังสือชื่อว่า The Hidden Origin of Islam ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2008 ทั้งนี้หาอ่านได้ทั้งฉบับภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ ซึ่งผลงานดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเพื่อโจมตีความเชื่อของชาวมุสลิม แต่เป็นผลงานทางวิชาการอันมีค่าที่เปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมได้ทราบและเข้าใจต้นกำเนิดดั้งเดิมของศาสนาตนเองได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะปฏิบัติตนเป็นมุสลิมได้ตรงตามประสงค์อันเป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งศาสนา มิใช่ตามคัมภีร์ฉบับใหม่ที่ถูกบิดเบือนไปแล้วจนนำมาซึ่งปัญหาและสงครามมากมายในปัจจุบัน


เครดิตคลิ๊ก

พญางูคูคุลคันกับรหัสลับชาวมายา


ทุก วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันวสันตวิษุวัต(Vernal equinox) คือ เวลากลางวันยาวเท่ากับเวลากลางคืน ในหน้าเปลี่ยนฤดู จะมีปรากฏการณ์รวมตัวกันอย่างน่าประหลาดของฝูงชน เพราะมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ “การมาเยือนของพญางูยักษ์” โดยพญางูนี้มีชื่อเรียกว่า “คูคุลคัน (Kukulcan)” เป็นพญางูที่มีขนเหมือนนก เทียบได้กับ “เควทซัลโคทล์ (Quetzalcoatl)” ของชาวแอซเท็ค ทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกับอยู่บ่อย ๆ

พญา งูคูคุลคันนี้ แม้จะพูดกันว่ามีพิษเทียบสุริโย แต่กลับเป็นงูใหญ่ใจดี บรรดาลความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผืนแผ่นดินและไร้ข้าวโพดทั่วราชอาณาจักร ชาวมายาจึงถือเอาวันแรกของปีที่ได้เห็นพญางูยักษ์ เป็นวันเริ่มการเพาะปลูก ไถหว่าน และทำการเกษตรต่าง ๆ

การ เสด็จมาของพญางูยักษ์คูคุลคันนี้ นับเป็นภูมิปัญญาชั้นสูงของชาวมายา งูยักษ์นี้ทอดตัวไปตามด้านข้างของบันไดพีระมิด(หางอยู่ด้านบน หัวอยู่ด้านล่าง) และพวกเขารู้ว่า หากสร้างพีระมิดตามแนวทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก ธรรมดาแล้ว จะไม่มีทางเห็นพญางูเสด็จมาอย่างแน่นอน จึงวางแปลนของพีระมิดให้เบี่ยงออก พอให้มีแสงลอดมาส่องที่บรรไดข้างหนึ่ง ซึ่งมีหัวสลักเป็นงูหินได้อย่างพอดิบพอดี จึงทำให้เห็นคล้ายว่างูทั้งตัวกำลังเลื้อยลงมา พร้อมกับแสงเรืองรองสมกับที่เป็นงูเทพ เป็นบทพิสูจน์ว่าสถาปนิกในยุคนั้นไม่ธรรมดาทีเดียว

การ เล่นแสงที่ทำให้เหมือนมีงูยักษ์เคลื่อนตัวผ่านมายังผืนโลกนั้นยังเห็นได้จน ทุกวันนี้ เป็นสัญญาณให้เริ่มทำการเพราะปลูกพืชไร่ที่หลับไหลมาตลอดฤดูหนาว
นอก จากเรื่องของงูยักษ์แล้ว ชาวมายายังมีรหัสลับอย่างอื่นอีกมาก โดยที่สำคัญถัดมาคือหอศิลาสูง เจาะช่องเล็กเสียจนมองดูน่าอึดอัด ต่อมาจึงได้พบว่าหอนี้มีไว้สำหรับให้องค์กษัริย์มายากระทำพิธีอัน ศักดิ์สิทธิ์ และให้บรรดาโหราจารย์ใช้เป็นที่ดูดาว คำนวณศุภฤกษ์สำหรับราชพิธีต่าง ๆ หอนั้นจึงมีชื่อเรียกกันในหมู่มังคุเทศก์ท้องถิ่นว่า “หอดูดาว (Observatory)”

ความ รู้ทางด้านดาราศาสตร์ของชาวมายาไม่ใช่ความรู้เพียงพื้น ๆ เท่านั้น แต่เป็นความรู้ขั้นละเอียดจนน่าอัศจรรย์ พวกเขากำหนดปฏิทินให้ปีหนึ่งมี 365.24 วัน ซึ่งนับว่าใกล้เคียงมาก และพวกเขาคำนวณได้ก่อนนักดาราศาสตร์ยุคปัจจุบันนับพันปี จึงนับเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่น่าทึ่งมาก

เมื่อ เรามองลึกลงไปถึงปราสามน้อยแห่งชิเช็นอิทซ่า ซึ่งมีนักโบราณคดีนานาชาติมาขุดกันอยู่บ่อยครั้ง รอบ ๆ เป็นอุโมงค์ขนาดเล็กทอดยาวไปสู่ใจกลางของพีระมิด และด้านในสุดเป็นผนังหินปูขาวรุ่นแรกสุดที่ใช้วางรากฐานของวิหารแห่งนี้ ที่หัวใจของพีระมิดพบสุสานส่วนตัวของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งนอนทอดร่างอยู่พร้อม กับทรัพย์ศฤงคารมากมาย อันประกอบด้วยหยกเขียวน้ำดีน้อยใหญ่ ทำให้รู้ว่าเจ้าของร่างนี้คืออดีตกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของชาว มายา ในช่วยศตวรรษที่ 8-9

อย่าง ไรก็ตามนักโบราณคดียังคงไม่หยุดการค้นหาแหล่งน้ำ ด้วยเชื่อว่าเมื่อมีมนุษย์ก็ต้องมีน้ำ เพราะน้ำเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิต และจากการค้นหาแทบพลิกแผ่นดิน ก็ได้พบหมู่บ้านคนงานแห่งหนึ่งที่เหลือเพียงฐานอิฐ แต่ส่วนบนซึ่งคาดว่าน่าจะทำด้วยไม้นั้นได้ผุพังไปหมดแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบซากปรักของแอ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มาก่อน (เมื่อสี่ร้อยปีที่ผ่านมา) และที่สำคัญคือ ไม่ได้พบเพียงบ่อเดียว แต่พบถึงสามบ่อด้วยกัน ไล่ชั้นลดหลั่นกันไปจากบนลงล่าง

เมื่อ ขุดลงไปถึงก้นของแอ่งนั้นก็ได้พบส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งติดพลั่วมา นั่นคืออิฐขาวที่ทำด้วยมือ บ่งชี้ว่ามีการปูก้นบ่อด้วยหินปูนขาวเพื่อกักเก็บน้ำไว้ นักโบราณคดีจึงส่งตัวอย่างของดินจากก้นบ่อทั้งสามไปตรวจสอบที่ห้องแล็บ ปรากฏว่าพบธาตุ ฟอสฟอรัส แคลเซียม และธาตุอนินทรีย์อื่น ๆ ที่เป็นของเฉพาะสำหรับบ่อน้ำอุปโภคบริโภค

อย่าง ไรก็ดี เมื่อตรวจอย่างละเอียดแล้ว พบว่าบ่อที่สามซึ่งอยู่ล่างสุดของเมือง มีสิ่งประหลาดคือ มีสารอินทรีย์อยู่มาก พร้อมทั้งปีกแมลงและสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ จึงได้ข้อสรุปว่า บ่อที่สามนี้เป็นบ่อรวมน้ำทิ้งจากบ่อที่หนึ่งและสองด้านบน จึงทำหน้าที่คล้ายกับบ่อเกรอะ และที่น่าสงสารคือ ดูเหมือนว่าบ่อนี้จะถูกใช้โดยชนชั้นล่างสุดของเมือง ส่วนบ่อชั้นบนมีไว้สำหรับกษัตริย์และพลเมืองชั้นสูง และแน่นอนน้ำนั้นเป็นของหายากสำหรับชาวมายา จึงไม่มีใครปฏิเสธที่จะใช้น้ำในบ่อเกรอะ แม้มันจะเป็นน้ำทิ้งก็ตาม…

เพิ่มเติม : พยา งูคูคุลคัน ของชาวมายา และ เควทซัลโคทล์ ของชาวแอซเท็ค มีส่วนคล้ายกันคือ ทั้งสองเป็นเทพแห่งพืชผล ช่วยบันดาลความอุดมสมบูรณ์แก่การเกษตร และลักษณะเป็นงูใหญ่ยักษ์ที่มีขนคล้ายนกเหมือนกัน แต่ที่ต่างกันคือ พญางูเควทซัลโคทล์ นั้นดุร้าย และชาวแอซเท็คจะต้องทำการบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์ทุก ๆ ปี ดังนั้นชาวแอซเท็คจึงต้องยกทัพออกไปตีเมืองต่าง ๆ เมื่อจะได้จับเชลยศึกมาสังเวยแทนที่จะเป็นคนในเผ่าตนเอง

ตามหาพระศพราชินีที่สวยที่สุดของไอยคุปต์


ต้นปี 2546 นี้ วงการประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ ได้เปิดเผยข้อสันนิษฐานใหม่ อันน่าตื่นเต้นว่า มัมมี่นิรนาม 3 ร่างที่ค้นพบในสุสานหลวง แห่งหุบเขากษัตริย์ที่เมืองลักซอร์, อียิปต์ นั้น ร่างหนึ่ง น่าจะเป็นมัมมี่ของ เนเฟอร์ติตี ราชินีผู้มีบทบาทสำคัญองค์หนึ่ง ของอียิปต์ ซึ่งหลังสิ้นพระชนม์ พระศพของพระนาง ได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ

ในช่วง ศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ผู้ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์ทรงพระนามว่า อาเคนาเตน (Akhenaten) ระยะเวลา 17 ปี ที่ครองราชย์นั้น พระองค์ได้ปฏิรูปศาสนา และศิลปกรรมของอียิปต์อย่างมากมาย ก่อความระส่ำระสายให้แก่นักบวชดั้งเดิมจนกลายเป็นความโกรธแค้นอาฆาต ซึ่งบุคคลที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังฟาโรห์และมีอิทธิพลต่อราชวงศ์ไอยคุปต์ก็คือ พระมเหสีเอกของพระองค์ผู้มีพระนามว่า เนเฟอร์ติตี (Nefertiti)
ดังจะเห็นได้จากจิตรกรรมและประติมากรรมต่างๆในยุคนั้น ที่มีรูปพระนางเนเฟอร์ติตีปรากฏอยู่ร่วมกับพระรูปของอาเคนาเตนเสมอๆ จนบางครั้งแทบดูไม่ออกว่าองค์ใดคือกษัตริย์ องค์ใดคือราชินี
รูปโฉมของเนเฟอร์ติตี มีลักษณะเป็นสตรีเอวบาง แต่บั้นท้ายและสะโพกหนา ชุดที่พระนางสวมใส่ มักจะบางเบาโปร่งแสง ทำให้แลดูมีเสน่ห์ยั่วยวน จนได้รับสมญาว่า "พระพักตร์งาม ทรงความเบิกบาน เป็นผู้ให้ความสำราญหาใครเทียม"
ความงามของเนเฟอร์ติตีนั้น เป็นที่เลื่องลือว่า "งดงามที่สุดในโลก" สมกับพระนามเนเฟอร์ติตีที่แปลว่า "ผู้งดงามหมดจด"

พระนางทรงมีธิดากับอาเคนาเตนถึง 6 องค์ ซึ่งฟาโรห์ก็ทรงโปรดปราน รักใคร่ยิ่งนัก จนมีปรากฏในรูปส่วนใหญ่ ที่เป็นภาพฟาโรห์ ประทับอยู่กับมเหสี และธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง หรือหลายองค์ ในลักษณะธิดานั่งบนตักบ้าง คลอเคลีย อยู่บนตัวบ้าง ขอให้อุ้มบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ยืนอยู่แนบข้างฟาโรห์ จัดเป็นภาพที่ออกจะผิดแผก ไปจากภาพชีวิตของฟาโรห์องค์อื่นๆ

บางคนกล่าวว่า เป็นการจัดฉาก โดยฝีมือของเนเฟอร์ติตี เพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นว่าฟาโรห์ทรงหลงใหลในมเหสีเอกองค์นี้เพียงใด


ก็น่าจะเป็นได้ เพราะนอกจาก เนเฟอร์ติตีแล้ว อาเคนาเตนก็ยังมีมเหสีรองที่สำคัญอีกคือ พระนางกิยา (Kiya) ผู้ซึ่งเป็นพระมารดาของฟาโรห์องค์ต่อมา ที่โด่งดังทั่วโลก ตุตันคาเมน นั่นเองครับ

แม้ว่าชีวิตในวังจะมีความผาสุกดังที่เห็นในภาพเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่ นำมาซึ่งความวิบัติเสื่อมเสียให้แก่ฟาโรห์ และมเหสีในภายหลังก็คือ


ทั้งสองพระองค์ทรงนับถือบูชา ในเทพเจ้าอาเตน (Aten) ยิ่งนัก
แต่เดิมนั้น บรรดาประชากรอียิปต์ มีศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) โดยมีเหล่านักบวช เป็นผู้ดูแลทำพิธีในวิหารต่างๆ แต่อาเคนาเตน ได้นำเอาศาสนาพระเจ้าองค์เดียว (เอกเทวนิยม) คือ สุริยเทพอาเตน มายัดเยียด และได้ปฏิรูปศาสนา อย่างถอนรากถอนโคน อาทิ

หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ฟาโรห์ก็ ทรงมีบัญชาให้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ กลางดินแดนอียิปต์ระหว่างเมืองธีบิสกับเมมฟิส สำหรับการสักการบูชาเทพอาเตน โดยเฉพาะชื่อของนครนี้ คือ อาเคตาเตน (Akhetaten) แปลว่า "ขอบฟ้าแห่งเทพอาเตน" ทรงย้ายสมาชิกในราชวงศ์ ตลอดจนขุนนาง และบริพารใกล้ชิดไปอยู่ที่เมืองหลวงใหม่นี้ ใจกลางนครมีมหาวิหารสถิตเทพอาเตนกับมีพระราชวังหลวง โดยมีอาคารพักอาศัยของข้าราชบริพารอยู่รอบนอก มีสุสานของพระราชวงศ์อยู่ที่หน้าผานอกเมือง

แม้แต่พระนามเดิมของฟาโรห์คือ เอเมนโฮเทปที่ 4 ก็ยังทรงเปลี่ยนมาเป็น อาเคนาเตน ซึ่งแปลว่า "วิญญาณอันรุ่งโรจน์ของอาเตน"

เทพอาเตน มีสัญลักษณ์เป็นแผ่นกลมที่มีรัศมีแผ่ออกมาเป็นรูปมือเล็กๆ ซึ่งหมายถึงกำเนิดชีวิต หรือจะหมายถึงพลังแห่งสุริยเทพก็ได้
มหาวิหารทีฟาโรห์และมเหสีสร้างถวาย เทพอาเตนนั้น เป็นแบบวิหารสุริยโบราณที่ไม่มีหลังคา ปล่อยให้แสงแดดส่องลงมาได้เต็มที่

นอกจากจะคลั่งไคล้บูชาอาเตนเต็มที่แล้ว ฟาโรห์ยังกระทำยํ่ายีศาสนาเดิม โดยมีบัญชาให้ปิดวิหารเทพเจ้าอื่นๆ จนสิ้น ลบรูปสัญลักษณ์ต่างๆในวิหาร ริบข้าวของสมบัติต่างๆ ภายในวิหารแล้วนำเอารูปเทพอาเตน เข้าไปตั้งแทน เพื่อให้ราษฎรอียิปต์สักการบูชา


สร้างความโกรธเป็นเดือดเป็นแค้นแก่ นักบวชที่เคยมีอิทธิพลต่อจิตใจ ของชนอียิปต์อย่างมากมาย
ในปีที่ 1336 ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์อาเคนาเตน สิ้นพระชนม์ แผ่นดินตกอยู่ในการปกครองของผู้สำเร็จราชการนาม เนเฟอร์เนเฟอรู อาเตน ซึ่งไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน บางคน กล่าวว่า เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอาเคนาเตน ผู้มีนามว่า เสม็นคาเร แต่หลายคนกล่าวว่า เขามิใช่ใครอื่น

หากแต่เป็นมเหสีเอกเนเฟอร์ติตีนั่นเอง


เนเฟอร์ติตีนั้นไม่ปรากฏพระองค์ หรือมีบทบาทใดๆ ให้เห็นในช่วงท้ายๆ รัชกาลอาเคนาเตน จะเป็นด้วยเหตุผลใดไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าทรงรู้ดีว่าพระองค์นั้นมีส่วนร่วมกับฟาโรห์ทำลายล้างศาสนาเดิม และได้สร้างศัตรูไว้มากมาย จึงต้องทรงซ่อนเร้นและปกครองอียิปต์ต่อมาอย่างไม่เปิดเผยพระองค์

ในช่วงระยะเวลาอันสั้นราว 3 ปี ในฐานะผู้สำเร็จราชการนี้ ได้มีความพยายามที่จะประนีประนอมรื้อฟื้นการบูชาเทพเจ้าดั้งเดิมขึ้นใหม่ เพื่อบรรเทาความอาฆาตแค้นของศัตรู


หากแต่ไม่เป็นผล การสิ้นพระชนม์ของเนเฟอร์ติตีเป็นเรื่องลึกลับ บางคนถึงกับอ้างว่า พระนางสิ้นพระชนม์ก่อนหน้า พระสวามีด้วยซํ้า
อย่างไรก็ตาม โดยที่มีผู้เกลียดชังมาก ทำให้ภาพของเนเฟอร์ติตีตามวัง และวิหารต่างๆ ถูกลบพระพักตร์ ออก อันเป็นการกระทำ ที่เกิดจากความเคียดแค้นอาฆาต ที่สะสมมานาน และโดยเหตุที่พระนาง มีใบหน้าที่สวยงามกว่านางใดในแผ่นดิน


ด้วยเหตุนี้เองที่ใบหน้า ของพระนางในรูปเขียนต่างๆ จึงถูกทำลายอย่างเฉพาะเจาะจง!
และแม้แต่มัมมี่ของพระนาง ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าอยู่หนใด!

จวบจนกระทั่งนักอียิปต์ วิทยาได้สันนิษฐานว่ามัมมี่ 1 ใน 3 ร่าง ที่พบในสุสานหมายเลข KV 35 แห่งหุบเขากษัตริย์ ใกล้เคียงกับสุสานของตุตันคาเมน นั่นน่าจะเป็นมัมมี่ของเนเฟอร์ติตีดังที่กล่าว ในเบื้องต้นนั่น



เหตุผลของการสันนิษฐานประมวลได้ว่า

มัมมี่ร่างนั้นมีคอเรียวยาวดุจหงส์ ซึ่งละม้ายกับรูปลักษณ์ของเนเฟอร์ติตีผู้งดงาม และอายุของมัมมี่นี้ก็อยู่ในยุคเดียวกับพระนาง

นอกจากนี้ ตลอดร่างของมัมมี่ก็ถูกทำลายเสียหาย เช่น ใบหูถูกเจาะ ศีรษะถูกโกน คิ้วถูกกดเป็นรอย ลำตัวมีริ้วรอย ซึ่งล้วนตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อภาพเขียนทั้งหลายของพระนาง


และที่สำคัญคือ ได้พบวิกผมสไตล์นูเบียน ตกอยู่ใกล้ๆ กับมัมมี่ทั้ง 3 เป็นแบบวิกผมที่ เนเฟอร์ติตี และสมาชิกราชวงศ์ของเธอสวมใส่ อยู่เป็นประจำ!
ทำให้น่าเชื่อได้ว่า มัมมี่นี้ก็คือพระศพ ของพระนางเนเฟอร์ติตี ราชินีผู้มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะเมียและแม่นั่นเอง


และจากการสันนิษฐานว่า เป็นมัมมี่ของ เนเฟอร์ติตีผู้งามที่สุดในโลก โครงการหนึ่งของทีมงานศึกษาครั้งนี้ จึงมุ่งเน้นในการสร้างภาพดิจิตอล พระพักตร์ของเนเฟอร์ติตีจากโครงหน้าของมัมมี่นี้

ซึ่งจะได้ภาพราชินีอียิปต์ผู้ทรงโฉม ที่สุดจริงหรือไม่

พลังลึกลับของสุสานฮ่องเต้จีน

สุสานฮ่องเต้
สุสานใหญ่มโหฬารที่สุดในโลก
สุสานของพระเจ้าฉินซีฮ่องเต้  ฉินหวางหลิน


เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 เวลา 4.30 น. เวลาประเทศจีน ประเทศอเมริกาได้ส่งยานกระสวยอวกาศของยาน อะพอลโล่ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของโลกเข้าสู่ห้วงอวกาศ นักบินอวกาศ นิล อาร์มสตรองค์ ได้ส่งสายตามองลงมายังพื้นโลก เขาได้เห็นปิรามิดของประเทศอียิปต์โบราณ เห็นแนวกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่


แต่ทันใดนั้น ที่ประเทศจีนตามแนวฝั่งของแม่น้ำ ฮวงโห ปรากฏว่ามีขีดเป็นขีดสีดำขีดอยู่ 9 ขีด เรียงรายไปตามแนวฝั่งแม่น้ำ ทีแรกเขาเข้าใจว่า นี่คงเป็นสถานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงของค่ายคอมมิวนิส แห่งประเทศม่านไม้ไผ่  ด้วยเหตุที่ว่า ขณะนั้นมีการถ่ายทอดสดออกอากาศทั้งทางสถานีวิทยุและทางโทรทัศน์ กระจายไปทั่วทุกมุมของโลก เขาจึงไม่กล้าส่งข่าวนี้โดยตรง ไปยังศูนย์อวกาศขององค์การนาซ่า แต่เขาได้ส่งข่าวนี้ตรงไปยังประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกาแทน


นีล อารมสตรองค์ ได้เก็บข้อมูลที่สงสัยนี้เป็นความลับตลอดมาเป็นเวลา 10 กว่าปี จนกระทั่งประเทศจีนและประเทศอเมริกา ได้มีการเปิดสัมพันธ์ไมตรีเป็นมิตรต่อกัน มีการแลกเปลี่ยนกันทางวัฒนะธรรมและทางการทูต นีล อาร์มสตรองค์ ได้มีโอกาสเป็นแขกรับเชิญของรัฐบาลจีนไปเยือนประเทศจีน ภายหลังกลับจากการเที่ยวเตร่ชมกำแพงเมืองจีนอันยิ่งใหญ่ นีล อาร์มสตรองค์ ได้เอ่ยปากขอร้องต่อเจ้าหน้าที่ต้อนรับฝ่ายจีนว่า ขอให้พาไปชมท่องเที่ยวยังสถานที่ ณ บริเวณจุดตัดระหว่างของเส้นรุ้งที่ 107 องศา 38 ลิปดาตะวันออก และของเส้นแวงที่ 34 องศาเหนือ



อันเป็นบริเวณที่ นิล อาร์มสตรองค์ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน คงไม่ยอมให้เข้าไปเด็ดขาด ต่อเมื่อ นีล อาร์มสตรองค์ ได้รับการอนุญาติและถูกพาไปยังสถานที่ดังกล่าว ปรากฏว่าเป็นบริเวณที่ราบสูง หวงถู่ (อึ่งโท้ว) ซึ่งแปลว่าดินเหลือง ในมณฑลซ่านซี


เขาได้เห็นหลุมฝังศพของกษัตริย์จีนโบราณจำนวนมากกว่า 20 หลุม เขาจึงได้เข้าใจประดุจตื่นจากความฝันว่า ที่แท้จริงบริเวณขีดสีดำ 9 ขีด ที่เขามองเห็นจากห้วงอวกาศนั้น กลับเป็นบรรดาสุสานของกษัตริย์จีนโบราณนั่นเอง หาใช่เป็นสถานที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศจีนไม่ แต่ความสงสัยเกี่ยวกับพลังอันเร้นลับของบรรดาสุสานโบราณเหล่านี้

ตามที่เขามองจากห้วงอวกาศเป็นแนวสีดำ 9 ขีด ยังฝังประทับใจประทับตาอยู่ในห้วงสมองของเขา นับเป็นความมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อของเขามาตลอดตราบเท่าทุกวันนี้

การที่สุสานของกษัตริย์จีนโบราณ มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและความเชื่อถือต่อชาวโลกเช่นนี้ มีเหตุผลอยู่ 2 ประการคือ

1. เป็นเพราะเกิดจากพลังอำนาจอิทธิพลของวิชา ฮวงจุ้ย อันเหลือเชื่อ ตามหลักปรัชญาของวิชา ฮวงจุ้ย ศาสตร์ เป็นวิชาที่มีการถ่ายทอดและสืบทอดมาแต่อดีตนับเป็นระยะเวลาหลายพันปี


2. เป็นเพราะมีการใช้สารเคมี สำหรับเคลือบศพและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บรรจุใส่เข้าไปในสุสาน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบันยังไม่สามารถค้นคว้าพิสูจน์ได้  ดังเช่นในสุสาน ปิรามิด ของประเทศ อียิปต์โบราณ เพราะฉะนั้นรัฐบาลของประเทศจีนในปัจจุบัน จึงเพียรพยายามอนุรักษ์สุสามโบราณเหล่านี้ไว้ เพื่อรอการพิสูจน์การศึกษาของผู้รู้ต่อไปในภายภาคหน้า


จริงอยู่ที่ได้มีการขุดค้นสุสานโบราณขึ้นมาแล้วหลายแห่งเพื่อการศึกษาทางโบราณคดี แต่ยังมีสุสานอีกจำนวนมากที่ยังไม่อนุญาตให้ขุด ด้วยเกรงว่าบรรยากาศของโลกในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวยต่อสารเคมีภายในสุสาน ดังเช่นตัวอย่างการขุด ปิรามิด ของสุสานอียิปต์โบราณ ปรากฏว่าเมื่อนำชิ้นส่วนตัวอย่างภายในสุสานออกมายังโลกภายนอก ชินส่วนเหล่านั้นถ้าไม่ระเหยกลายไอก็ละลายกลายเป็นของเหลว จึงยังความเป็นที่สงสัยแก่นักวิทยาศาสตร์ชั้นหลัง

จีน นับเป็นชาตินักบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่ชำนาญที่สุด และมีอายุอันยาวนานที่สุดตามกาลเวลาของโลกชาติหนึ่ง ยังความเป็นอารยะธรรมที่สืบต่อเนื่องมานานถึง 5,000 ปี และมีการใช้สืบเนื่องต่อกันๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันเป็นอารยะธรรมที่ไม่ตาย ยังหายใจอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับอารยะธรรมโบราณของชนชาติโบราณหลายประเทศ เช่น กรีก โรมัน อียิปต์ เมโสโปเตเมีย อินคา และของอินเดียบางแห่ง
โดยเหตุที่ว่า จีน มีความได้เปรียบทางด้านอักษรศาสตร์และวัฒนะธรรมทางภาษาต่อชนชาติอื่นหลายประการคือ
1. จีน สามารถผลิตกระดาษหรือวัสดุสำหรับการขีดเขียน
มาตังแต่ยุคราชวงศ์ ฮั่น แล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีการบันทึกแกะสลักจารลงบนแผ่นไม้ไผ่ ไม้ ภาชนะ อิฐ ดินเผา และเศษกระดูก


2. จีน สามารถผลิตกระดาษ พู่กัน หมึก และจานฝนหมึก สำหรับบันทึกเขียนหนังสือหรือวาดรูป เป็นเครื่องมือที่สะดวกมากสำหรับการบันทึกทางประวัติศาสตร์



มีความสงสัยมานานแล้วว่า ประเทศไทยมีสัมพันธ์ไมตรีติดต่อกับจีน ทั้งทางด้านการค้าการพาณิชย์และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนะธรรมตั้งแต่เริ่มแรกที่ ไทยเรามีประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งยุคกรุงสุโขทัย ในราชวงศ์พระร่วง ตรงกับแผ่นดินจีนในยุคราชวงศ์ หยวน ในยุคสมัยของพระเจ้า กุปไลข่านฮ่องเต้

ซึ่งจีนได้มีการผลิตกระดาษหมึกพู่กันใช้มาก่อนหน้าพันปีที่แล้ว แต่ทำไมจีน จึงไม่นำกระดาษหมึกพู่กันเครื่องมือการเขียนบันทึกมาเผยแพร่แก่ทางกรุงสุโขทัยบ้าง ทั้งๆ ที่ไทยเราก็มีวัฒนะธรรมทางภาษาและอักษรศาสตร์อยู่แล้ว  ถึงแม้จะนำเอาวัฒนะธรรมของชนชาติอื่นมาปนในการใช้บ้างก็ตาม 

หรือว่า จีน ยังคงงกไม่ยอมให้ชนชาติอื่นร่วมใช้กับวัฒนะธรรมจีนอันนี้ แต่นั่นก็ใช่ที่ เพราะถ้ามีการติดต่อกันทางการค้าการพาณิชย์ เขาจะไม่นำเอากระดาษพู่กันและหมึกมาบันทึกอักขระเกี่ยวกับรายการสินค้าที่ขายออกและซื้อเข้าตามระบบการค้าขายของมนุษย์ชาติหรอกหรือ


ทำไมพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ทรงมาหลังขดหลังแข็งแกะสลักอักษรไว้บนศิลาจารึกให้คนรุ่นหลังอ่าน ศิลาจารึกของพระเจ้า รามคำแหง เป็นจริงหรือเท็จ ยังเป็นที่สงสัยแก่นักประวัติศาสตร์ไทยบางท่าน หากมีหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์ไทยบนแผ่นกระดาษ ประวัติศาสตร์ไทยยุคนั้นก็คงละเอียดแจ่มแจ้งเหมือนกับการบันทึกทางประวัติศาสตร์จีนในทุกยุคสมัยที่ผ่านมา


 
3. จีนสามารถรวบรวมตัวอักษรจีนที่เป็นสมบัติทางวัฒนะธรรมเป็นเอกภาพเอกลักษณ์หนึ่งเดียวทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ จีน มีชนเผ่าที่แตกต่างกันทางภาษาและอักษรศาสตร์หลายสิบเผ่า และแตกต่างกันทางภาษาพูดทางวัฒนะธรรมของพลเมืองตามพื้นที่ภาคต่างๆ อีกมากมายทั่วผืนแผ่นดินจีน อันกว้างใหญ่ไพศาล

ดังนั้นความเป็นเอกภาพทางด้านอักษรศาสตร์ ทำให้ชาวจีนทั่วประเทศสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ มีความเข้าใจในภาษาต่อกันทั้งๆ ที่บางแห่งกันติดต่อกันทางภาษาพูดอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเขียนเป็นตัวอักษรจีนออกก็เข้าใจกันทั่วทุกถิ่นฐานชนบท เป็นสาเหตุให้สามารถแลกเปลี่ยนหล่อหลอมกันทางวัฒนะธรรมซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นชนเผ่า ชนชาติ และประเทศชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก


ชาวจีนทุกคนต่างเป็นหนี้บุญคุณของพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ ที่ออกกติกาให้ชาวจีนทั่วทั้งประเทศสามารถสื่อสารกันได้ แม้ว่าพระเจ้า ฉินซีฮ่องเต้ ออกจะเป็น ฮ่องเต้ ที่เหี้ยมโหดดุร้ายทารุนก็ตาม ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ทางอักษรศาสตร์และการหล่อหลอมทางวัฒนะธรรมที่เป็นเอกภาพนี่เอง ทำให้ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนนอกแผ่นดินจีน หลายชนเผ่า ต่างก็รับเอาอักษรภาษาศาสตร์ของจีน มาใช้กับชนเผ่าของตน ทั้งๆ ที่ชนเผ่าของตนเองก็มีอักษรภาษาศาสตร์ใช้เป็นวัฒนะธรรมของตนเองอยู่แล้ว


แม้กระทั่งบางชนเผ่าที่สามารถรุกรานเข้ามายังแผ่นดินใหญ่ของจีน ตั้งตัวเป็นประเทศมีราชวงศ์ตามอย่างประเทศจีน ในแผ่นดินจีน เช่น ชนเผ่าจิน ชนเผ่าซีเซี่ย ชนเผ่ามงโกล และชนเผ่าแมนจู หรือที่ฝรั่งเรียกชื่อว่าชนเผ่ายุรเชน  ต่างก็เอาภาษาอักษรและวัฒนะธรรมของจีน มาใช้ในชนชาติของตน และมี 2 ชนเผ่าที่สามารถเข้ามายึดครองปกครองประเทศจีน ทั้งประเทศ สถาปานาเป็นราชวงศ์ หยวน และราชวงศ์ ชิน ลงในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศจีน

แต่ก็ไม่สามารถปกครองควบคุมชาวจีน ส่วนใหญ่ทั้งประเทศโดยอาศัยภาษาอักษรศาสตร์และวัฒนธรรมของชนเผ่าของตนเองปกครองคนจีน จำใจต้องนำเอาภาษาอักษรศาสตร์และวัฒนะธรรมของประเทศจีน มาปกครองคนจีน ทำให้วัฒนะธรรมของจีน กลับกลืนกินเอาวัฒนะธรรมของชนเผ่าแร่ร่อนเหล่านั้น กลับเป็นคนจีนไปโดยปริยาย


สำหรับประเทศไทย เริ่มมีการเขียนบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานพอเห็นได้ก็ในสมัย กรุงศรีอยุธยา แต่ก็ยังเป็นที่สับสนสำหรับประวิศาสตร์ของไทยบางตอน ถึงกับมีการใช้วิชาไสยศาสตร์มาสืบเสาะหรือนั่งทางในดูเหตุการณ์ของประวัติศาสตร์ไทยในอดีต จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับของบรรดานักประวัติศาสตร์ไทยเกี่ยวกับศาสตร์อันงมงายเช่นนี้ ประวัติศาสตร์ของไทยบางตอนต้องอาศัยการบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีน และจดหมายเหตุของฝรั่งบางชาติ ที่มีการกล่าวพาดพิงถึงแผ่นดินของ ไทย เมื่อในอดีต


การสร้างฮวงจุ้ย หรือสุสานของฮ่องเต้จีน ได้มีการบันทึกการสร้างสุสานที่ค่อนข้างละเอียด ยังความมีประโยชน์แก่ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ วรรณคดี วัฒนะธรรม และโบราณคดีของ จีน

สุสานของพระเจ้า ฉินซี่หวางฮ่องเต้ ถูกสร้างอยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้าน เซี่ยเหอชุน ห่างไปทางทิศตะวันออกของเมือง หนินถง (นิ่มท้ง) 5 กิโลเมตร เมือง หนินถง นี้อยู่ค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ นครซีอาน ในมณฑลซ่านซี ทำเลสุสานทางด้านทิศใต้หันเข้าสู่เชิงเขา ลี่ซาน ทำเลทางทิศเหนือหันไปที่ลำน้ำ เว่ยเหอ (อุ่ยฮ้อ)


ตัวสุสานเป็นเนินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มองดูคลับคล้ายกับปิรามิด
ของอียิปต์โบราณ แต่ที่ฐานกว้างกว่า ที่ยอดไม่แหลมเท่า บนยอดนั้นยังมีที่ราบที่กว้างขวาง มีความสูงทั้งหมดนับตั้งแต่ห้องฝังพระศพที่อยู่ใต้ดิน ไปถึงยอดที่ราบบนตัวสุสานวัดได้ 120 เมตร เส้นรอบวงของฐานสุสานวัดได้ 2,167 เมตร ได้ผ่านกาลเวลาอันยาวนานนับด้วยสองพันกว่าปี



พระเจ้า ฉินซี่หวางฮ่องเต้ ทรงเสด็จสวรรคต ในขณะที่ทรงเสด็จประพาสเป็นครั้งที่ 5 ที่ตำบล ซาคิว (ซัวคู) ปัจจุบันคือเมือง ผินเซียนเสี้ยน (เพ่งเอียกุ่ย) ในมณฑลเหอเป่ย เมื่อเดือน 7 พ.ศ. 334 ในปีเดียวกันเมื่อเดือน 9 ก็ได้รับการฝังยังสุสานที่ภูเขา ลี่ซาน ในขณะที่พระเจ้า ฉินซี่หวาง ทรงสิ้นพระชนม์นั้น ตัวสุสาน ฉินหวางหลิน ยังสร้างเสร็จไม่สมบูรณ์ แต่ทว่าที่ห้องสุสานท้องพระโรงใต้ดิน ได้มีการตกแต่งอย่างสมบูรณ์แล้ว


พระเจ้า ฉินเอ้อซื่อ หูไห่ ฮ่องเต้องค์ต่อมา ได้นำพระศพมาฝังยังท้องพระโรงใต้ดินนี้ แล้วทรงมีพระราชโองการให้กรรมกรสร้างสุสาน 400,000 กว่าคน ก่อมูลดินกลบฝังสุสานท้องพระโรงใต้ดิน ซึ่งต้องใช้เวลานาน 2 ปี จึงสามารถก่อเป็นมูลดินของสุสานได้สำเร็จ นับได้ว่าสุสาน ฉินหวางหลิน เป็นสุสานโบราณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และแม้กระทั่งเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เป็นได้

กล่าวกันว่า ตามแบบแผนของการสร้างสุสาน ด้านบนของสุสานไม่คิดว่าจะสร้างเป็นเนินราบ แต่ทว่าในขณะที่คนงานกำลังถมดินสุสานอยู่นั้น กบฏชาวนาซึ่งนำโดย เฉินเสิ้น (ตั่งเส่ง) และ อู๋กว่าน (โง่วก้วง) ได้นำกำลังบุกเข้ามาถึงดินแดน กวานจง (กวงตง) ถึงด่าน หันยู่กวน (หั่งยู่กวง) พระเจ้า ฉินเอ้อซื่อ (ชิ่งยีสี่) ทรงมีรับสั่งให้เหล่ากรรมกรที่กำลังพูนดินขึ้นยังยอดของสุสานจำนวน 400,000 กว่าคน เลิกงานพูนดินและทรงติดอาวุธให้บรรดากรรมกรเหล่านี้
แปรสภาพเป็นกองทัพ มุ่งหน้าสู่ด่าน หันยู่กวน เพื่อรับมือกับกองทัพของผู้ก่อการ เพราะฉะนั้น สุสาน ฉินหวางหลิน ด้านบนยอดจึงเป็นพื้นที่หน้าตัดเป็นที่ราบมาตาบเท่าทุกวันนี้

เครดิตคลิ๊ก

บันทึกลับUFOในแผ่นดินจีนยุคโบราณ



เรื่องราวเก็บตกจากหนังสือของฝรั่ง THE CHINESE ROSWELL
ราย ละเอียดของเรื่องคือ การพบบันทึกที่เกี่ยวกับยานอวกาศ ซึ่งตกลงในแผ่นดินจีนยุคโบราณ สถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้ๆกันกับปิระมิดในมณฑลซานซี

เรื่องของเรื่อง มีอยู่ว่า ในเทือกเขา บายันคารา-อุลา พรมแดนของจีนแผ่นดินใหญ่กับหลังคาโลก-ธิเบต นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่ง ทำการสำรวจถ้ำในบริเวณนั้น และก็บังเอิ๊น..บังเอิญไปพานพบกับเรื่องแสนประหลาดเข้าครับ คือในถ้ำบริเวณนั้น พวกเขาพบโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่ง ซึ่ง"น่า"จะจัด อยู่ในสปีชีส์เดียวกับพวกลิงเอป แต่จากหัวกระโหลกที่พบ มันมีวิวัฒนาการทางสมองกว่าลิงเอปมากมาย เจ้าโครงกระดูกของเจ้าของถ้ำเหล่านี้มีลักษณะเล็กแกรนมากครับ นักมานุษยวิทยาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าควรจะจัดเข้าไปอยู่ในตระกูลไหนของมนุษย์


จานหินประหลาดที่ถูกคนพบในถ้ำ
ระหว่าง สำรวจถ้ำนั้นเอง หนึ่งในทีมสำรวจได้ค้นพบจานหินขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นจานกลม ตรงกลางมีรูและสามารถหมุนได้เหมือนแผ่นเสียง บริเวณเนื้อหินของจานประหลาดที่ว่า มีอักขระประหลาดที่ไม่มีใครอ่านออก จารึกอยู่เต็มพรืดไปหมดครับ

กาลเวลาล่วงเลยมาอีก 20 ปี ระหว่างนั้น นักโบราณคดีแห่งปักกิ่งหลายต่อหลายคน พยายามที่จะแปลความหมายในจานหินแผ่นนั้นอย่างสุดความสามารถ มีการระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเข้ามาช่วยเหลือ และแล้วความพยายามก็ประสบผล Dr. Tsum Um Nui จากปักกิ่งถอดรหัสจากจานหินพร้อมกับตีพิมพ์เนื้อหาอันพิลึกพิลั่นโลกออกมา ตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้รัฐบาลออกเร่งสำรวจบริเวณนั้นเป็นการใหญ่ และพบจานหินลักษณะเดียวกันมาอีกพะเรอเกวียนเลยครับ


ถอดรหัสจากจานหิน
จาน หินเหล่านั้นบันทึกเรื่องราวของมนุษย์จากดาวดวงอื่นเอาไว้ครับ มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ได้ประสบอุบัติเหตุขณะมาเยือนโลก และนำยานร่อนลงฉุกเฉินในบริเวณเทือกเขา Baya-Kara-Ula ดินแดนของประเทศธิเบตในปัจจุบัน พวกเขาเรียกตัวเองว่า Dropas (ก็ ดร.Tsum Um Nui อ่านแบบนี้นี่ครับ) ยานของพวกเขาเกิดควบคุมไม่ได้และตกลงมาพังยับเยิน พวกเขาพยายามสร้างยานขึ้นมาใหม่แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงได้เคลื่อนย้ายสำมะโนครัวเข้าไปในถ้ำแถบนั้น เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดนะครับ พวก Dropas จำนวนมาก โดนไล่ล่าเหมือนสัตว์ป่าจากบรรพบุรุษของชาวฮั่น ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในบริเวณใกล้เคียง นอกจากจานหินและภาชนะบางชนิดแล้ว นักสำรวจยังพบภาพเขียนในผนังถ้ำครับ เป็นภาพของดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ และดาวอะไรก็ไม่ทราบโคจรไปพร้อมๆกัน อายุอานามของภาพเขียนปาเข้าไปหมื่นสองพันปีแน่ะครับ


ท่วงทำนองที่แปลกประหลาดสำหรับหูของมนุษย์อย่างเรา
มี การนำจานหินจำนวนมากไปทดสอบที่สถาบันวิจัยในรัสเซียครับ ผลที่ปรากฏคือ เมื่อหมุนจานหินนี้ด้วยเครื่องจักรในลักษณะเดียวกับแผ่นเสียง จานหินจะส่งเสียงครวญครางเหมือนฮัมเพลงออกมาเบาๆ เป็นท่วงทำนองที่แปลกประหลาดเอาการสำหรับหูของมนุษย์อย่างเรา และเมื่อลองส่งกระแสไฟฟ้าผ่านจานหินเหล่านี้ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทำนองเดียวกับเราปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านวงจรอิเล็ค ทรอนิคส์เลยครับ

นักวิทยาศาสตร์รัสเซียตบท้ายว่า "จานหินที่พบมีส่วนผสมของโคบอลต์และโลหะบางประเภทอยู่ เรากำลังศึกษาครับ ว่าพวกเขาสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร"

ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไปว่าโลกของเราเคยมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญามาเยือนมาแล้วหรือยัง

เครดิตคลิ๊ก

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความลี้ลับแห่งดินแดนไอยคุปต์



ตำนานความลี้ลับแห่งดินแดนไอยคุปต์  ยังคงเป็นปริศนาที่น่าสนใจมาจนกระทั่งทุกวันนี้  การค้นหาอดีตอันรุ่งโรจน์ของชาวไอยคุปต์ ถือเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีทุกคนต่างใฝ่ฝัน ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาจะได้พบโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้  จนทำให้หลายคนต่างลืมเลือนความน่าสะพรึงกลัวของดินแดนแห่งนี้ไปจนหมด
แม้ดินแดนไอยคุปต์จะล่มสลายมานานหลายร้อยปี
และยังเป็นที่เลื่องลือเกี่ยวกับอาถรรพ์แห่งคำสาป  แต่สิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ   ต่างพากันมาเยือนดินแดนแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย  รวมทั้ง  คริส  แม็คคลอเวล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ  ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับตำนานของดินแดนแห่งนี้มานานหลายปี
จนกระทั่ง ในปี 1980  คริสก็ได้เดินทางไปเยือนดินแดนไอยคุปต์เป็นครั้งแรก  และสถานที่ที่เขาเลือกจะไปค้นหาปริศนาของดินแดนแห่งนี้ก็คือ เมือง ตานิส  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนล่าง ทางทิศตะวันออกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์


หลังจากที่ได้อ่านประวัติของ นายออกัสต์ มาเรียตเต นักโบราณคดีที่เดินทางมาสำรวจเมืองตานิสเป็นคนแรก  คริสก็เริ่มสนใจเมืองนี้ขึ้นมาทันที  เขามั่นใจว่าภายใต้พื้นดินบริเวณนั้น จะต้องมีโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
ปฏิบัติการสำรวจเมืองตานิส  หนึ่งในหลายอารยธรรมอันรุ่งเรื่องของดินแดนไอยคุปต์  ได้เริ่มขึ้นด้วยการที่ คริส เดินทางมาขออนุญาตทางการของประเทศอียิปต์ 
 
  เพื่อขุดสำรวจเมืองดังกล่าว ในตอนแรกทางการอียิปต์ปฏิเสธ  เพราะเห็นว่าเมืองแห่งนี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก  จึงไม่ต้องการให้ใครเข้าไปล่วงล้ำ   ซึ่งยิ่งสร้างความสนใจใคร่รู้แก่คริสมากขึ้น  เขาพยายามติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางราชการของอียิปต์อยู่หลายครั้ง  จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจเมืองตานิสได้
 
คริสได้จ้างวานนักสำรวจอีก 3 คน  ให้เข้าไปช่วยเขาขุดค้นหาโบราณวัตถุอันมีค่า ยังบริเวณกำแพงแห่งหนึ่งของเมืองตานิส  โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางการอียิปต์ ร่วมเดินทางไปในคณะสำรวจครั้งนี้ด้วย 2 คน คริสเชื่อว่าบริเวณกำแพงแห่งนี้  น่าจะเป็นที่ตั้งสุสานของฟาโรห์ หรือสุสานของเชื้อพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ไอยคุปต์ก็เป็นได้  

การขุดค้นได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  และวันหนึ่งพวกเขาก็ขุดพบโพรงขนาดใหญ่พอสมควรซ่อนตัวอยู่ใต้ซากกำแพงแห่งนี้ ในครั้งแรกพวกเขาดูไม่ค่อยสนใจกับมันซักเท่าไหร่ แต่พอยิ่งขุดลึกเข้าไป พวกเขาก็เจอเข้ากับซากของปล่องไฟเล็กๆ  ซึ่งเห็นได้ชัดว่า  มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับใช้ในสุสานอย่างแน่นอนคณะสำรวจยังคงก้มหน้าก้มตาขุดค้นบริเวณโดยรอบต่อไป  และในที่สุด 
 
 พวกเขาก็เจอกำแพงทึบซึ่งมีประตูกั้นอยู่  จึงช่วยกันพังประตูบานนั้นเข้าไป ทำให้เศษอิฐ เศษหินพังทะลายเข้าไปทับถมอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก  แต่ก็ยังพอมองเห็นทางเดินขนาดกว้างพอประมาณ  ที่ทอดยาวไปสู้ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง 
 
ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สำหรับพิธีการทำศพ  บริเวณกลางห้องมีแท่นขนาดใหญ่ทำด้วยเงินตั้งอยู่  ซึ่งมีหีบบรรจุเครื่องนุ่งห่มของกษัตริย์วางซ้อนอยู่ข้างบนด้วย แม้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นจะเปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา แต่มันก็ยังมีคุณค่าในสายตาของนักสำรวจทุกคน นอกจากนี้พวกเขายังพบหีบขนาดเล็กที่ทำด้วยเงิน  รูปสลักของเทพเจ้า  เครื่องเงิน  เครื่องทอง  และสิ่งของประดับอันมีค่าเป็นจำนวนมาก

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ของทางการอียิปต์  ได้ทำการจดบันทึกการค้นพบในครั้งนี้ไว้เป็นหลักฐาน  เพื่อทำรายงานต่อไป ไม่มีใครได้ทันสังเกตว่า คริสได้แอบหยิบกำไลเงินอันหนึ่งติดมือมาด้วย เพราะเขารู้สึกว่า  มันน่าจะเป็นของที่ระลึก  สำหรับการเดินทางมาค้นหาปริศนาอันเร้นลับของดินแดนไอยคุปต์  ที่เขาจะนำไปอวดคนที่รู้จักได้เป็นอย่างดี


หลังจากนั้นคณะสำรวจทั้งหมดก็เดินทางกลับ   ขณะที่คริสก็รีบตีตั๋วเครื่องบินกลับประเทศอังกฤษทันที  พร้อมกับตั้งใจจะนำกำไลเงินที่แอบหยิบติดมือมาได้ ไปอวดแดนนี่  เพื่อนสนิทของเขา แต่เมื่อเดินทางมาถึงอังกฤษ ซึ่งตรงกับช่วงเวลากลางคืนพอดี  คริสจึงต้องตรงกลับบ้านก่อน  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโทรไปบอกแดนนี่ไว้ก่อนว่า  วันรุ่งขึ้นเขามีสิ่งของบางอย่างจะนำไปอวด


ระหว่างที่คริสกำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนนั้น  เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังรื้อค้นห้องนอนของเขาอยู่  คริสจึงเปิดประตูออกมาดู  แต่ก็ไม่เห็นใคร  หลังจากอาบน้ำเสร็จ  คริสก็รื้อเสื้อผ้าออกมาจัดเข้าตู้ให้เรียบร้อย  แล้วก็หยิบกระเป๋าใบเล็กซึ่งใส่กำไลเงินออกมาดู  แต่เมื่อเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากลับไม่พบกำไลอยู่ในนั้น คริสเริ่มสงสัยว่า กำไลมันหายไปได้อย่างไรกัน เขาลองค้นหาจนทั่วก็ไม่เจอ จึงพยายามทบทวนความทรงจำว่า  ได้เก็บกำไลไว้ที่ไหนกันแน่  แต่เขาก็มั่นใจว่า  ได้ใส่มันลงกระเป๋าใบเล็กเองกับมือ รุ่งเช้า  แดนนี่โทรมาหาคริสเพื่อทวงถามถึงสิ่งของ  ที่คริสสัญญาว่าจะนำไปให้ดู  ซึ่งคริสต้องบอกความจริงกับเพื่อนไปว่า  เขาได้นำกำไลซึ่งเป็นสมบัติของชาวไอยคุปต์ติดมือกลับมาด้วย  แต่ว่าตอนนี้มันได้อันตรธานหายไปแล้ว  แดนนี่จึงรีบตรงมาหาคริสที่บ้าน  และช่วยกันค้นหากำไลอันนั้นอีกครั้ง 

ในระหว่างที่ทั้งสอง  กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นสิ่งของภายในห้องนอน  แดนนี่ก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง  เขาจึงหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาเปิดดูข้างใน  แล้วก็พบกำไลเงินอันหนึ่งอยู่ในนั้น เขาจึงหันไปถามคริสเพื่อความแน่ใจว่า ใช่กำไลอันที่คริสพูดถึงรึเปล่า พอคริสเห็นกำไลอันนั้นอยู่ในกระเป๋า  เขาก็ถึงกับยืนตาค้าง  เพราะแน่ใจว่า เขาได้ค้นดูในกระเป๋าใบนั้นทุกซอกทุกมุมแล้ว  ไม่มีทางที่กำไลอันใหญ่จะเล็ดรอดสายตาของเขาไปได้  แล้วมันกลับมาอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไรกัน

คริสเริ่มเอะใจขึ้นมาว่า  จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล  เกี่ยวกับกำไลอันนี้อย่างแน่นอน  เขาเริ่มนึกถึงอาถรรพ์คำสาปอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไอยคุปต์ขึ้นมาทันที ด้วยความกลัวคริสจึงบอกกับแดนนี่ว่า เขาจะนำกำไลกลับไปคืนไว้ที่เก่า  แต่ยังไม่ทันที่คริสจะได้ทำเช่นนั้น  คืนวันเดียวกันนั่นเอง  ขณะที่เขากำลังนอนหลับอยู่ในห้อง  จู่ๆเตียงของเขาก็สั่นไปมาอย่างแรง  ทำให้ร่างของคริสกระเด็นลงมากองอยู่กับพื้น

คริสลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่ง  แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับอันมีค่าคล้ายกับคนสมัยโบราณ  กำลังมองมาที่เขา จากนั้นชายคนดังกล่าว ก็เอื้อมมือมาจับคอของคริสไว้  และค่อยๆยกร่างของเขาขึ้นสูงจากพื้นทีละนิด ทีละนิด  จนเกือบชิดเพดานห้อง 

 ขณะที่คริสเริ่มตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว  และพยายามร้องขอชีวิต  แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้น จะฟังที่คริสพูดไม่เข้าใจ    เขายังคงเหวี่ยงร่างของคริสหมุนไปทั่วห้องด้วยความเมามัน      จากนั้นก็ปล่อยให้ร่างของคริส กระเด็นไปกระแทกกับผนังห้องอย่างแรง  ส่งผลให้เขาถึงกับสลบเหมือดไปทันทีที่คริสรู้สึกตัวขึ้นมา หลังจากที่เพื่อนบ้านมาเห็นเหตุการณ์เข้า และรีบพาตัวเขาส่งโรงพยาบาล  คริสก็พบว่าอาการของตัวเองอยู่ในขั้นโคม่าเสียแล้ว ในขณะนั้นเขารู้สึกว่า ความเจ็บปวดมันกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา แม้แพทย์จะฉีดยาเพื่อบรรเทาอาการปวดให้  แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ทุเลาเบาบางลงเลย  คริสเริ่มรับรู้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตขึ้นมาในทันที 

อย่างไรก็ตาม  คริสยังพยายามติดต่อกับแดนนี่  เพื่อขอร้องให้แดนนี่นำกำไลอันที่เขาขโมยมา ไปคืนยังที่เดิม เพราะคริสแน่ใจว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมด ต้องเกิดจากอาถรรพ์คำสาปอันน่าสะพรึงกลัวแห่งดินแดนไอยคุปต์อย่างแน่นอน แม้ว่าการนำกำไลอันนั้นไปคืนยังเจ้าของ จะไม่ได้ช่วยยื้อชีวิตของเขาขึ้นมาจากความตายได้  แต่คริสก็รู้สึกว่ามันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว  เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครต้องมารับเคราะห์  จากอำนาจอันลี้ลับแห่งไอยคุปต์  เช่นเดียวกับเขาอีกต่อไป