ปริศนาแอตแลนติส

ปริศนาอาณาจักรแอตแลนติส ในความเห็นของนักปรัชญา

[ภาพจำลองอาณาจักรแอตแลนติส]
เรื่องลี้ลับของอาณาจักรแอตแลนติสที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร ไม่มีเรื่องใดน่าสนใจเท่าเรื่องของผลึกลึกลับประจำอาณาจักร ที่กล่าวกันว่ามันอาจจะเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจจิต หรืออำนาจทางการเมือง หรือเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานและความลี้ลับทางเทคโนโลยีของชาวแอตแลนติส ที่อาจยังคงจมอยู่ในซากปรักหักพัง ลึกลงไปใต้มหาสมุทรก็เป็นได้ แต่มีหลักฐานบางอย่างชี้ว่า มีผู้รอดชีวิตชาวแอตแลนติสผู้โชคดี ได้นำมันขึ้นมาด้วยจากก้นสมุทรไปยังดินแดนใหม่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าที่ไหนกันแน่ แม้จะพากันค้นหาคำตอบมากว่าพันปีแล้วก็ตาม
ในเวลาต่อมา นักปรัชญายุคใหม่ชื่อว่า เอ็ดการ์ เคย์ซี (Edgar Cayce) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพลังจิตที่โด่งดังมาก จนได้รับฉายาว่า “ศาสดาพยากรณ์ยามหลับ” เพราะเมื่อเขาหลับลึก จิตวิญญาณของเขาสามารถล่องลอยไปถึงมิติที่อยู่ไกลออกไปได้ ทำให้เขาสามารถมองย้อนกลับไปในอดีต หรือล่วงรู้อนาคต และเขาอ้างว่าได้รับรู้เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนติสอย่างสมบูรณ์
นับจากปีที่ 1920-1945 เขาได้บรรยายเรื่องราวโดยละเอียดของมหานครที่จมอยู่ก้นมหาสมุทร และได้เล่าเรื่องผลึกแก้วมหัศจรรย์อยู่หลายครั้ง ซึ่งเขาคาดว่าผลึกแก้วนี้น่าจะใช้ประโยชน์ทั้งทางโลกและเหนือโลก แต่มีผู้กระทำการลบหลู่ต่อแก้วผลึกวิเศษนี้อย่างร้ายแรง ทำให้เกิดวิบัติขึ้น จนอาณาจักรทั้งอาณาจัทรจมลงใต้น้ำ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตไปได้ และได้นำผลึกแก้วมหัศจรรย์นี้หนีภัยไปยังแผ่นดินใหญ่ และเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมใหม่ในกาลต่อมา
เดิมทีเรื่องราวของการล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติสได้ถูกนำมาเปิดเผยโดยพลาโต นักปรัชญาชื่อดังของกรีกโบราณเมื่อ 2,350 ปีมาแล้ว ซึ่งพลาโตได้กล่าวถึงเรื่องราวความรุ่งโรจน์และพลังอำนาจของอารยธรรมมนุษย์ยุคทองสัมฤทธิ์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงผลึกแก้วและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับผลึกแก้วเลยแม้แต่น้อย แต่นั่นก็อาจไม่ได้หมายความว่า พลาโตมีความเห็นขัดกับเอ็ดการ์เสียทีเดียว เพราะอาจเป็นไปได้ว่า พลาโตสนใจเรื่องการทหารและด้านจริยธรรมของแอตแลนติสมากกว่า แต่ทั้งสองก็มีความเห็นตรงกันว่า การล่มสลายของอาณาจักรที่ประชากรเต็มไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์อย่างแอตแลนติสนั้น เกิดจากชาวนครแอตแลนติสเอง


[ภาพวาดจำลองเหตุการณ์น้ำทะลักเข้าท่วมอาณาจักรแอตแลนติส]
พลาโตไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุการณ์ล่มสลายของอาณาจักรแอตแลนติสไว้ชัดเจนนัก ซึ่งเอ็ดการ์ก็ได้นำมาต่อความให้สมบูรณ์ว่า เกิดจากพลังจากอวกาศ พลังนี้ทำให้เกิดภัยพิบัติใหญ่หลวงต่ออาณาจักร มันเกิดจากการที่รังสีจากดวงอาทิตย์แผ่กระทบผลึกแก้วมหัศจรรย์ทำให้เกิดอิทธิพลทำลายล้างมหาศาล
ผลึกแก้วนี้เป็นเทคโนโลยีสุดยอดของชาวแอตแลนติส ซึ่งสามารถดึงพลังงานจักรวาลมาใช้ประโยชน์ ให้เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับพลังงานจากอวกาศภายนอกเพื่อนำมาใช้ภายในอาณาจักร ซึ่งชาวแอตแลนติสก็ให้ความสำคัญกับแก้วผลึกนี้มากถึงกับสร้างวิหารทรงกลม เป็นโดมเพื่อเก็บรักษาผลึกแก้วไว้ เพื่อให้ผลึกแก้วสามารถรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์อื่น ๆ ได้ พลังงานที่กระจายออกจากแก้วผลึกนี้จะอยู่ในรูปของเปลวไฟเปล่งออกมารอบดวงแก้ว


[แบบจำลองแก้วผลึกมหัศจรรย์]
เอ็ดการ์ เคย์ซี รายงานว่าบริเวณรอบนอกของแอตแลนติสนั้น ถล่มจมอยู่ที่บิมินีซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งไมอาที่ ฟลอริดาไป 55 ไมล์ และเคยมีคนพบเศษซากของก้อนอิฐที่ใช้สำหรับก่อสร้างอาคารอยู่ในระดับความลึกเพียง 20 ฟุต เท่านั้น ก้นทะเลเหล่านั้นได้รับขนานนามว่าถนนบิมินี จากการทำวิจัยอยู่หลายสิบปี นักวิจัยจึงมั่นใจว่า พื้นที่ ๆ จมอยู่ใต้น้ำนั้น เมื่อ 5,000 ปีเศษ เคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก และเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่มีความเจริญ และวัฒนธรรมสูงมาก่อน
เอ็ดการ์ เคย์ซี ชี้ว่า การที่ชาวแอตแลนติสสามารถสร้างสังคมที่ก้าวหน้าได้อย่างนั้น เป็นเพราะมีการสั่งสมอารยธรรมมาเก่าแก่ยาวนานมาก มีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมติดต่อกันมาหลายศตวรรษ จนมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความรู้ความเข้าใจในการนำพลังของผลึกแก้วมาใช้ประโยชน์
เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่มนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทศโนโลยีสูงมาก ๆ จะสาบสูญไปพร้อมกับการล่มสลายอยู่ใต้สมุทร ทำให้มนุษย์ยุคต่อมาต้องเรียนรู้และพัฒนาทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมด และต้องใช้เวลานานกว่าจะมีความเจริญใกล้เคียงกับชาวแอตแลนติส


[อาณาจักรอินคาที่เจริญรุ่งเรือง คาดว่าได้รับถ่ายทอดอารยธรรมมาจากชาวแอตแลนติส]
แต่เอ็ดการ์กล่าวว่า ความรู้ปัจจุบันนี้ทำได้แค่ใกล้เคียงชาวแอตแลนติสเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทัดเทียม และกล่าวต่อว่าความรู้ทางวิชาการของชาวอาณาจักรแอตแลนติสได้แก่ ความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตงดงาม ซึ่งยังเหลือซากให้เห็นอยู่ ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของชาวแอตแลนติสที่หนีรอดมาได้ มาขึ้นฝั่งและสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นในบริเวณที่ตั้งของอาณาจักรอินคา ทำให้ชาวอินคามีความเจริญสูงกว่าเผ่าอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีแอตแลนติส
นอกจากเทคโนโลยีทางการก่อสร้างแล้ว เทคโนโลยีทางการเกษตรที่ชาวแอตแลนติสถ่ายทอดให้ชาวอินคายังสูงส่งกว่าใคร แม้แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ทราบกันว่าผลผลิตทางด้านการเกษตรทุกสาขาตามแบบวิทยาการที่คาดว่า ชาวอินคาได้รับจากชาวแอตแลนติส ยังให้ผลผลิตมากกว่าที่ใช้กันใน ปัจจุบันถึงสามเท่า


[จำลองผังเมืองอันชาญฉลาดของอาณาจักรแอตแลนติส]
ย้อนกลับไปที่พลาโต เขาได้บันทึกไว้ว่าชาวแอตแลนติสต่อเรือได้ใหญ่โตมาก มีขนาดความยาวถึง 400 ฟุต (หรือราวร้อยเมตรเศษ) ซึ่งยังไม่มีใครสามารถต่อเรือด้วยไม้ได้ใหญ่ขนาดนั้นจนถึงปัจจุบัน
กล่าวกันว่าเทคโนโลยีหินแก้วผลึกนี้สูงส่งมาก สามารถส่งพลังงานออกไปนอกโลก ขุดแร่ทองแดงและทองคำจากดาวอื่นได้ ดูจากการที่ชาวแอตแลนติสสามารถสร้างอาวุธสัมฤทธิ์ที่มีคุณภาพดี และกำแพงเมืองของเผ่าอินคา(ที่เชื่อว่าได้รับอารยธรรมจากชาวแอตแลนติส)หุ้มด้วยทองรอบด้าน
จากการที่ชาวแอตแลนติสสามารถใช้ผลึกแก้วเป็นขุมพลังงานมหาศาลได้ดังกล่าว อาจทำให้เกิดความผิดพลาดร้ายแรงได้เช่นกัน เอ็ดการ์ผู้อ้างว่าทราบถึงเหตุการณ์นั้น กล่าวว่า เกิดปรากฏการประหลาด คล้ายภูเขาไฟระเบิด ลูกไฟหล่นลงมาเผาเมืองจนวอดวาย เกิดแผ่นดินถล่มผู้คน ชาวเมืองส่งเสียงกรีดร้องระงม พากันหนีหาที่ปลอดภัยอย่างโกลาหล แต่ก็หนีไม่พ้นเพราะไม่มีที่ปลอดภัยให้หลบซ่อนได้ ทุกหนทุกแห่งทั่วอาณาจักรถูกดูดยุบลงไปใต้มหาสมุทรพร้อมกับผู้คนทั้งหมดที่ไม่มีทางขัดขืนได้
นักวิจัยค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ไม่มีใครเชื่อเอ็ดการ์เลย จนกระทั่งมีการพบร่องรอยอารยธรรมโบราณหลายอย่างที่สามารถยืนยันคำกล่าวของเขาได้เป็นอย่างดี เช่น พบจารึกของอาณาจักรอินคาว่า เกิดน้ำท่วมใหญ่ในอาณาจักรแอตแลนติสจนอาณาจักรล่มสลายจมไปใต้สมุทร สิ่งที่รอดชีวิตมาเพียงอย่างเดียวคือมนุษย์ที่เรียกกันว่า “นาคาขนปุย” (Feather Serpent) เท่านั้น ซึ่งพวกนาคาขนปุยนี้มาจากทะเล สร้างบ้านเมืองแห่งแรกในแคว้นยูคาทานของเม็กซิโกปัจจุบัน มีปัญทึกว่าพวกเขาล้วนมีความรู้ทางวิชาการสูงส่ง มีความปราดเปรื่องทางภูมิปัญญา และมีการนำหินแก้วผลึกมาด้วย เอ็ดการ์เชื่อว่าปัจจุบันหินแก้วผลึกนี้ก็ยังคงอยู่ที่นั่น แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะไม่รู้ว่าเป็นอะไร

[ผังเมืองของอาณาจักรอินคา ที่คล้ายผังเมืองของอาณาจักรแอตแลนติสเสียเหลือเกิน]
ในอีกซีกโลกหนึ่งมีบันทึกของชาวสุเมเรียว่า มีผู้คนอพยพมาจากอาณาจักรที่ล่มสลาย มาโดยเรือลำใหญ่พร้อมสัตว์เลี้ยง และข้าวปลาอาหารจำนวนมาก มีการกล่าวถึงแก้วผลึกที่ลุกโพลงเป็นไฟอยู่ตลอดเวลาด้วย
จุดกึ่งกลางระหว่างอาณาจักรเมโสโปเตเมียกับอาณาจักรอินคา คือหมู่เกาะแคนารี่ นอกฝั่งแอฟริกาเหนือ พื้นเมืองดั้งเดิมคือ เผ่ากอนซ์(Guanches) เล่าว่า เคยเกิดวิบัติครั้งใหญ่ในพื้นที่ใกล้เคียง เกิดน้ำท่วมใหญ่กลืนอาณาจักรทั้งอาณาจักรพร้อมผู้คนจมลงสู่ใต้ผิวน้ำจนหมดสิ้น
เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนติสนี้ เป็นที่รู้จักกันอยู่แพร่หลายในหมู่คนโบราณสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ว่ามันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ เป็นที่ตั้งของอาณาจักรอันรุ่งเรือง และวิวัฒนาการที่ก้าวหน้ากว่าใคร วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้จมหายไปพร้อมอาณาจักรเสียทั้งหมด ยังมีชาวแอตแลนติสที่สามารถหนีรอดขึ้นฝั่งได้ เข้าใจว่าผืนดินที่อยู่ใกล้ที่สุดน่าจะเป็นบริเวณทวีปอเมริกาเหนือที่มีชาวแอจแลนติสอพยพขึ้นไปอาศัยอยู่ และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชาวพื้นเมือง และชาวเผ่าอินเดียนแดงในทุ่งราบกว้างใหญ่ ตอนกลางของสหรัฐฯ เป็นส่วนที่ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการขั้นสูงนี้ไว้มาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีการใช้พลังงานจาก “ผลึกหินควอทซ์” (Qaurtz Crystal)

[ผลึกควอทซ์]
หมอผีชาวอินเดียนแดงเผ่าพิมา(Pima) มีชื่อเสียงโด่งดังในการรักษาโรคเป็นอย่างมาก สามารถรักษาทุกโรคได้หายขากเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว โดยการใช้ผลึกหินควอทซ์กดลงบริเวณที่เจ็บป่วย ก็หายป่วยได้ แสดงว่าหมอผีเหล่านั้นได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากชาวแอตแลนติส นอกจากนั้นยังมีหมอผีในอาณาจักรโบราณของเม็กซิโกสามารถใช้กระจกที่ทำจากผลึกหินควอทซ์ ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า และดูเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
-----------------------------------------------
นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ “แอตแลนติส” เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษ แต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่ 
..........โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตศักราช ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ“แอตแลนติส” (Atlantis) จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตรใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus)และซีเรีย (Syria)
..........”พวกเราพบมันแล้ว” ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก 
..........”พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น” ซาร์แมสต์ เผยอย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง “เนิน” ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ 
..........ตามคำกล่าวอ้างของ “เพลโต” (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนตีสมีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้ 


..........ซาร์แมสต์ เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) หรือ “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” (Straits of Gibraltar) นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส 

..........”ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian)” ซาร์แมสต์เผย และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา “คริสเตียน ฮูบเชอร์” (Christian Huebscher)นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว
..........ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าว
ของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ดี หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด


เมื่อไม่นานมานี้, 
Bernie Bamford วิศวกรการบินจากประเทศอังกฤษ ค้นพบตารางสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนผังเมือง อยู่นอกชายฝั่งแอฟริกาตอนเหนือ ในมหาสมุทรแอตแลนติก
การค้นพบครั้งนี้อยู่ในโปรแกรม Google Earth เวอร์ชัน 5.0 พิกัดของตำแหน่งนี้คือ 31 15'15.53N 24 15'30.53W (หากลองหาดูตามพิักัดนี้ จะเจอเหมือนรูปด้านล่าง)
แน่นอนว่าการค้นพบครั้งนี้ทำให้ข้อสงสัยว่ามันคือซากของทวีปแอตแลนติส ถูกนำมาพูดถึงกันอีกครั้งหนึ่ง ต้นฉบับของทวีปแอตแลนติสคือเพลโตเคยพูดไว้ว่า
For the ocean there was at that time navigable; for in front of the mouth which you Greeks call, as you say, 'the pillars of Heracles,' there lay an island which was larger than Libya and Asia together

The pillars of Heracles ในปัจจุบันคือปากทางเข้าช่องแคบยิบรอลตาร์ (สเปนกับแอฟริกาเหนือ) ในปัจจุบัน ซึ่งก็สอดคล้องกับตำแหน่งของร่องรอยที่พบในครั้งนี้ ตามคำของเพลโต อาณาจักรแอตแลนติสเคยรุ่งเรืองอยู่สมัย 9000 ปีก่อนคริสตกาล
ขนาดของตารางสี่เหลี่ยมใกล้เคียงกับเวลส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแอตแลนติสบอกว่ามันเป็นการค้นพบที่น่าสนใจมาก ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเกิดจากธรรมชาติล้วนๆ ก็ตาม
 

"แอตแลนติส" นครที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นเรื่องที่เล่ากัน มานานหลายพันปีมาแล้วว่า ครั้งนั้นแอตแลนติสเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยและมีวัฒนธรรมสูง ส่ง แต่จู่ๆ มหาสมุทร ก็กลืนแอตแลนติสลงไป และมีผู้พยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติสหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ มหานครแห่งนี้จึงยังคงความลึกลับอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตามหลังจากที่กูเกิ้ลเปิดตัว "กูเกิ้ลโอเชี่ยน" ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความหวังว่า อาจใช้ "กูเกิ้ลโอเชี่ยน" นี้ค้นหาแอตแลนติสได้ โดยพื้นที่สงสัยนั้นอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของประเทศโมร็อกโก ทวีปแอฟริกา ราว 600 ไมล์และอยู่ลึกใต้ระดับน้ำทะเลไม่ต่ำกว่า 3 ไมล์ พื้นที่นี้เรียกว่า "แอ่งคานารี่"        



จากภาพที่เห็นพบว่า มีลายเส้นเป็นรูปเหมือนกับถนนหนทาง กินอาณาบริเวณเท่ากับแคว้นเวลส์ ประเทศอังกฤษ แต่ที่จริงแล้ว ลาย เส้นเป็นลายเส้นเทียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำแผนที่ โดยแผนที่นี้ได้มาจากการตรวจวัดด้วยเครื่องโซนาร์ของพื้นทะเลและบันทึกโดย เรือ ลายเส้นนี้จึงเป็นทางเดินเรือที่รวบรวมข้อมูลมาให้

ดร.ชาร์ลส์ ออร์เซอร์ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กสเตต สหรัฐอเมริกา มีความเห็นว่า "มีความเป็นไปได้สูงที่พื้นที่แห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส และแม้ว่าจะไม่ใช่แอตแลนติส เป็นเพียงแค่สภาพภูมิศาสตร์ แต่เราก็ควรไปสำรวจอยู่ดี"

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น