เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950...บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ
ในปี ค.ศ. 1955...รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ พร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น...ลงเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจเพื่อค้นหาคำตอบของความลี้ลับ ณ บริเวณนั้น
สองสามวันต่อมา...เมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง
เพราะ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้นได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่มีอะไรทั้งนั้น...หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล แต่ไม่พบแม้เงา
มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์...เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น
ใครหลายคนที่อันตรธานไปอย่างเป็นปริศนา...ย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา
แต่...เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่างได้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดกลับมา...จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับผู้ที่หายสาบสูญไป
มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า...อะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น คล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์รายใดเคยรู้จักกันมาก่อน
อย่างไรก็ตาม...เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาประกอบกันดูแล้ว ก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด และมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงงสนเท่ห์มากยิ่งขึ้น
เพราะมันยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน...ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ
ที่มา คลิ๊ก
นอกจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอันลือชื่อแล้วยังมีที่ไหนในโลกอีกบ้างไหม ที่มีปรากฏการณ์ ลึกลับสุดพิศวงเช่นเดียว กันนี้ “ทะเลปิศาจ” อาณาเขตอาถรรพณ์ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ฝั่งเกาะมาดากัสการ์นี่เอง หากมองดูแผนที่ท่าน จะเห็นว่ามาดากัสการ์ เป็นเกาะใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ใกล้ไปทางแผ่นดินใหญ่แอฟริกา ถัดไปทางทิศตะวันออกมีเกาะใหญ่ อีกเกาะหนึ่งคือเกาะ มอริเชียส ถัดมอริเชียสขึ้นไปทางเหนือมีเกาะซีเชลล์ทอดอยู่สง่าภาคภูมิ...บริเวณเกาะทั้งสามในมหาสมุทรอินเดียนี้เอง ที่มีเหตุการณ์ประหลาดๆเกิดขึ้นบ่อยจนน่านน้ำบริเวณนั้นได้รับนามว่า “ทะเลปิศาจ”
ชื่อ “ทะเลปิศาจ” นี่ยังนับว่าเบาะๆนะครับ นักเขียนฝรั่งบางคนเรียกซะเข้าไส้ไปเลยว่า “นรกของคนถูกสาป-Limbo of the Damned” คู่กับ “Limbo of the Lost” อันหมายถึงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอาถรรพณ์ครับ
เช่นเดียวกับบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ทะเลปิศาจแห่งมาดากัสการ์เป็นจุดที่เรือและเครื่องบินสูญหายไปโดยปราศจากร่องรอยหลายสิบลำ นับแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา ได้มีเรือหายไป ณ จุดนี้ถึง 46 ลำ ก่อนหน้านี้ ขึ้นไปก็มีเรือสูญหายอีกมาก บางครั้งหายไปหมดทั้งเรือและกะลาสี บางครั้งหายเฉพาะกะลาสี เหลือแต่เรือเปล่าๆ ฯลฯ จะขอคัดตอนสำคัญๆ ที่น่าเชื่อถือ เพราะผ่านการสำรวจตรวจสอบแล้วมาคุยให้ท่านฟังสัก 3-4 ตัวอย่าง
ปี ค.ศ.1789 เรือฟรีเกตของฝรั่งเศสสองลำชื่อ “ลาบูสโซล” กับ “ลาสโตรลาป” ออกเดินทางจากออสเตรเลียมุ่งสู่มาดากัสการ์ โดยการนำของกัปตันผู้คร่ำหวอดเพียงเพื่อที่จะหายสาบสูญปราศจากร่องรอยแถวๆฝั่งมาดากัสการ์นี่เอง

เรื่องการหายของเรือเดินสมุทรนี้ นักวิทยาศาสตร์อาจไม่เห็นว่าแปลกตรงไหน เพราะห้วงมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เรือจะหายไปมั่งปีละลำสองลำเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่มีคนอีกมากไม่เห็นด้วย โดยยืนยันว่า การสูญหายในบริเวณทะเลปิศาจนี้ต้องมีอะไรผิดปกติอยู่ด้วยแน่ๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้พบเรือดำน้ำของญี่ปุ่นลำหนึ่งเกยตื้นอยู่บนฝั่งดีเอโก ซูอาเรส ของเกาะ มาดากัสการ์ เรือดำน้ำขึ้นมาเกยตื้นบนฝั่งน่ะมันก็ธรรมดา แต่ประหลาดอยู่ ตรงที่ว่า เรือยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ลูกเรือพากันหายสูญไปหมด โดยปราศจากร่องรอยน่ะสิ
ปี ค.ศ.1961 เครื่องบินของฝรั่งเศสพร้อมด้วยคน 5 คน ตกที่ชายฝั่งมาดากัสการ์ เครื่องแหลกละเอียดหมด แต่จะหาศพคนทั้ง 5 คน ในซากเครื่องบินนั้น แม้แต่เศษเนื้อเศษหนังสักนิดก็ไม่มี คนทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับที่สุด ราวกับว่าก่อนเครื่องบินตกพวกเขามิได้อยู่บนเครื่องบินเลย

ปี ค.ศ.1964 ตำรวจน้ำพบเรือสำราญขนาด 64 ฟิต ลอยอยู่กลางทะเลใกล้ฝั่งเกาะมอริเชียสโดยไม่มีอะไรบุบสลาย แต่ทว่าไม่มีคนอยู่บนเรือนั้นสักคนเดียว!...ไม่มีร่องรอยว่าได้เกิดการต่อสู้หรือเภทภัยใดๆแม้แต่น้อย ข้าวของทุกชิ้นวางอยู่กับที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขาดก็แต่คนเท่านั้น!
เรือ “ตาร์บอง” ของฝรั่งเศสก็เช่นกัน มันแล่น ออกจากพอร์ตหลุยส์ในเกาะมอริเชียส วันที่ 5 ธ.ค. 1974 สามวันต่อมา เรือบรรทุกน้ำมันฮิวตันมาร์คเกอร์ ได้พบตาร์บองลอยเท้งเต้งอยู่ห่างเกาะราว 90 ไมล์ เสบียงและอุปกรณ์ทุกชิ้นมีสภาพดีเยี่ยม แต่ไม่มีคน!
ทีนี้มาดูเหตุการณ์ที่ทั้งคนและพาหนะรอดกลับมาบอกเล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นให้ ฟังได้ว่าเขาเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้าง
ปี ค.ศ.1976 เรือพิฆาตแห่งนาวีสหรัฐฯ ชื่อ “ลาวี” แล่นมาใกล้ถึงฝั่งดีเอโก ซูอาเรส เหตุร้ายก็เกิดขึ้นรวดเร็ว ท้องน้ำในบริเวณนั้นปั่นป่วนหมุนอย่างบ้าคลั่งเป็นวงมหึมา และแล้วเกลียวน้ำก็ยกขึ้นสูงเป็นคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่เรืออย่างรุนแรง และในท่ามกลางความปั่นป่วนนั่นเอง ลูกเรือทั้งหมดก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากทิศทางต่างๆกัน ในท่ามกลางเกลียวคลื่น เป็นเสียงคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างโหยหวนโดยไม่เห็นตัว ต่อจากนั้นก็มีเสียงคนพูดกันจ้อกแจ้กเหมือนตกอยู่ในสภาวะตระหนกอกสั่น แต่ภาษาที่พูดนั้นลูกเรือสหรัฐฯฟังไม่ออกสักคำเดียว เพราะเหมือนคนหลายสิบคนต่างก็พูดภาษาของตนนับสิบๆภาษาพร้อมๆกัน ข้าวของต่างๆบนเรือล้วนเคลื่อนที่ได้เองเหมือนมีคนจับมันขยับเขยื้อน... เหตุการณ์ผ่านไปนานนับชั่วโมง จึงหยุดลงพร้อมๆกับเรือแล่นผ่านบริเวณอันบ้าคลั่งนั้นออกมาได้
ไม่มีใครให้เหตุผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
วันที่ 1 มิ.ย. 1970 เรือบรรทุกน้ำมันอังกฤษชื่อ “อินเนอร์เดล” ประสบพายุใหญ่และทะเล บ้าคลั่งขนาดหนักที่ใกล้เกาะซีเชลล์จนถึงกับต้องสละเรือ ลูกเรือ 60 ชีวิตลงเรือชูชีพหนีออกมาได้ ทุกคนเล่าเป็นเสียงเดียวกัน ว่า “เราบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอะไร มันมืดไปหมด มืดสนิทราวกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้ มันเหมือนมีพลังประหลาดมาดึงดูดตัวเราอย่างรุนแรงจนทนไม่ได้” ส่วนกัปตันตอบเคร่งขรึมว่า “มันเป็นประสบการณ์แปลกประหลาด ที่สุดในชีวิตการเดินเรือสามสิบปีของผม”
แต่รายสำคัญได้แก่นักบินผู้ขับเครื่องบินดีซี-3 ของทางการมาดากัสการ์ไปผจญเหตุร้ายในวันที่ 11 ธ.ค. 1969
กัปตันโรแลนด์ แอนตริบี้ พร้อมด้วยนักบินผู้ช่วย หลุยส์ โทลิเวร์ และผู้โดยสารโบยบินไปบนฟากฟ้าที่ได้รับคำพยากรณ์อากาศมาล่วงหน้า แล้วว่าอากาศปลอดโปร่งแจ่มใสตลอดวัน แต่ขณะที่บินอยู่ในระยะความสูง 4,000 ฟุต เหนือเมืองพอร์ตหลุยส์ของเกาะมอริเชียสกับเมืองทามาตาวีในเกาะมาดากัสการ์นั่นเอง ก็เจอเรื่องประหลาด
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่หมอก ไม่ใช่เมฆ ไม่ใช่ควัน...แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ สีครีมข้นเป็นกลุ่มขนาดใหญ่มหึมาลอยตัวเข้ามาช้าๆ ขณะนั้น ทุกคนมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่ว่าจะท้องฟ้าข้างบนหรือทะเลข้างล่าง เห็นแต่วัตถุสีครีมข้นหนาทึบปกคลุมเต็มไปหมด และแล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อเครื่องบินเคลื่อนเข้าไปอยู่ในวงล้อมของวัตถุสีครีมนั้นอย่างสิ้นเชิง
“มีแสงฟ้าแลบแปลบปลาบเกิดขึ้น” แอนตริบี้ เล่า “เป็นฟ้าแลบจากเบื้องบนผ่านเข้ามาในวัตถุสีครีม มันกระทบปีกเครื่องของเราจนสั่นสะเทือน หลุยส์ผู้ช่วยของผมร้องตะโกนอย่างลืมตัวว่า เรากำลังเจอพายุคลื่นไฟฟ้า'...ซึ่งผมก็คิดว่าจริงของเขา”
ระหว่างนี้ วิทยุติดต่อกับหอบังคับการขัดข้อง เข็มต่างๆที่หน้าปัดเป๋ผิดทิศทางไปหมด มีอย่างเดียวเท่านั้นที่สงบนิ่ง คือ นาฬิกา เพราะว่ามันหยุดเดินทันที ที่เครื่องเข้าสู่กลุ่มวัตถุสีครีมหนานี้ กลุ่มครีมข้นนั้นหนามากขึ้น แสงฟ้าแลบแปลบปลาบรุนแรงขึ้นทุกที ในที่สุดเครื่องบินก็สั่นสะเทือนอย่างแรง แอนตริบี้ไปกระแทกที่นั่งจนเลือดไหลกบปาก แต่เขาก็ประคองเครื่องอย่างสุดความสามารถนานถึง 35 นาทีเต็มๆจึงผ่านออกมาได้ แต่เครื่องก็เสียจนไม่อาจบินต่อไปได้ เคราะห์ดีที่นำเครื่องลงได้โดยปลอดภัย
อะไรเป็นตัวการพาให้เกิดเหตุพิศวงขึ้น ณ บริเวณทะเลปิศาจ?
ในบริเวณทะเลปิศาจมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นสิ่งบินลึกลับอยู่บ่อยๆ และมักพบในลักษณะรูปทรงต่างๆกันไป ผู้ที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ จึงสรุปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ผู้มาจากโลกอื่นแน่นอน ส่วนนักโบราณคดีก็พยายามหาคำตอบด้วยการขุดลึกเข้าไปในอดีตของชาวเกาะมาดากัสการ์และ ก็ได้พบบางอย่างที่น่าสนใจ
เมล โปเบร นักโบราณคดีสหรัฐฯ พบว่าชาวเกาะมีที่มาอันน่าพิศวง พวกเขาไม่ได้เป็นนิโกรหรือชาวพื้นเมืองแอฟริกัน ตามตำนานบอกว่าบรรพบุรุษของเขาเดินทางไกลแสนไกล จากบางส่วนของไมโครนีเซียอันห่างออกไปราว 8,000 ไมล์ นานกว่าห้าพันปีมาแล้ว เมลบอกว่า การที่บรรพบุรุษของชาวเกาะลงเรือเดินทางรอนแรมมาไกลอย่างนี้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องเป็นนักเดินเรือที่วชาญหาตัวจับยากทีเดียว
ความประหลาดมันอยู่ตรงนี้ละครับ
ชาวเกาะมาดากัสการ์ปัจจุบันไม่มีใครเป็นนักเดินเรือเลยซักคน...พวกเขาเป็นชาวเกาะอยู่กลางน้ำ แต่ไม่มีใครคิดจะหากินทางน้ำเลย เขาไม่ยอมลงเรือไปค้าขายไกลๆ ซึ่งนับว่าผิดปกติมาก นักโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ชาวเกาะซึ่งสืบเชื้อสายมาจากนักเดินเรือมือเยี่ยมต้องกลัวต่อการเดินเรืออย่างนี้ เมื่อได้ค้นลึกเข้าไปในตำนานบรรพบุรุษ เมลก็คิดว่าพอจะได้คำตอบบ้างแล้ว
ตำนานของบรรพชนกล่าวว่า ท้องทะเลที่พวกชาวเกาะข้ามมานั้นเต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาดอันแสนจะน่าสะพรึงกลัว มันทำลายชีวิตนักเดินเรือไปเป็นอันมาก จนกระทั่งเหลือรอดมาถึงเกาะเพียงหนึ่งในสาม...สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าสยองขวัญเสียจนพวกเขาพากันเข็ดขยาด เมื่อมาถึงฝั่งได้ก็สาบานว่าจะไม่ไปออกทะเลอีกแล้ว จนมีคำสอนอย่างเคร่งครัดว่า ห้ามออกทะเลไม่ว่าด้วยเรือชนิดใดก็ตาม เพราะว่าในทะเลนั้นเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ของปิศาจร้าย
ชาวเกาะมาดากัสการ์จึงจับเจ่าอยู่ที่นั่นมาจนกระทั่งบัดนี้ สิ่งที่นักเดินเรือสมัย 5,000 ปีก่อนได้ พบเห็นนั้นจะเป็นอะไรที่เราไม่สามารถรู้ได้ มันจะเป็นฐานทัพมนุษย์ต่างดาวใต้ทะเล-อสูรจากห้วงทะเลลึก-หรือมิติอื่นที่ซ้อนอยู่ในบริเวณนั้น? ล้วนเป็นเรื่องที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้
ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น