วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

Crop Circles ใต้ท้องทะเลประเทศ ญี่ปุ่น

กรณีนี้ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด แต่ก็เป็นความบังเอิญที่แปลกดี ก็เลยนำมาเสนอค่ะ



เคยเห็นแต่ Crop Circles ตามท้องทุ่งไร่นา ไม่คิดว่าจะมีใต้ท้องทะเลด้วย

เมื่อไม่นานมานี้นักประดาน้ำ ได้ค้นพบประติมากรรมลึกลับใต้ท้องทะเล แถว อามามิ โอชิม่า ประเทศ ญี่ปุ่น ลัษณะคล้ายกับ Crop Circles ที่เกิดตามท้องทุ่งนาทั่วโลกรูปทรงแบบเรขาคณิตบนพื้นทรายที่สวยงามเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 ฟุต เป็นอะไรที่ไม่เคพบเห็นมาก่อน  นักประดาน้ำ จึงตั้งให้มันว่า  “mystery circle” หรือวงกลมลึกลับ





แต่เมื่อเฝ้าสังเกตุดูพบว่า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดเองจากธรรมชาติ และไม่ได้เกิดจากผีมือ มนุษย์ต่างดาว  แต่เกิดจากฝีมือปลาปักเป้าขนาดจิ๋ว ผู้สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมชั้นเลิศ  เพื่อสร้างรังวางไข่นั้นเอง..





วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ตำนานศึกเทพเจ้าแห่งไอยคุปต์


ในสมัยโบราณเมื่อแรกที่ รา (RA) สุริยเทพได้สร้างโลกและมนุษย์ขึ้น



พระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์พระองค์แรกของดินแดนอียิปต์
โดย สุริยเทพราทรงมี โอรสและธิดาห้าพระองค์ คือ    
คือ โอซิริส(Osiris) ฮามาคิส (Harmakhis)  เซ็ท(Seth)  ไอซิส(Isis) และเนพทิส(Nephtys)


 เซ็ท(Seth)


เนพทิส(Nephtys)

ไอซิส(Isis)

เมื่อเจริญวัยขึ้น โอรสและธิดาของพระองค์ได้อภิเษกกันเอง ตามประเพณีของไอยคุปต์
กล่าวคือ เทพโอซิริส อภิเษกกับ เทพีไอซิส


ส่วน เทพเซ็ทอภิเษกกับเทพีเนพทิส


มีเพียงเทพฮามาคิส เท่านั้นที่มิได้อภิเษกกับผู้ใด

กาลเวลาล่วงมาจนกระทั่งเมื่อ รา สละราชสมบัติ เทพโอซิริสในฐานะโอรสองค์โตจึงขึ้นครองราชย์ เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์
แต่เทพเซ็ทผู้อนุชาปรารถนาในราชบัลลังก์จึงวางแผนปลงพระชนม์พระเชษฐา
เพื่อการณ์นี้ เซ็ทได้สร้างหีบใบหนึ่งขึ้นมาอย่างวิจิตรงดงามและถวายแด่พระเชษฐา
หากแต่มีข้อแม้ว่า โอซิริสต้องเข้าไปนอนในหีบนี้ได้พอดี ความงามของหีบต้องใจองค์ฟาโรห์จนพระองค์รีบเสด็จก้าวเข้าไปโดยมิทันสงสัย
และทันทีที่โอซิริส เสด็จเข้าไป เทพเซ็ทก็ปิดหีบและมัดอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงนำหีบทิ้งลงแม่น้ำไนล์

หีบดังกล่าวลอยไปติดกับต้นทามาริสต์ และถูกกิ่งก้านของต้นไม้ห่อหุ้มจนมิดชิด
ต่อมา ราชาแห่งนครไบบลอสได้นำต้นไม้ดังกล่าวไปทำเสาประดับในโถงพระโรง โดยมิทรงทราบว่ามีหีบศพอยู่ข้างใน
ฝ่ายไอซิส รับทราบมรณกรรมของสวามี ด้วยความรันทด
นางจึงออกจากอียิปต์เพื่อค้นหาร่างของสวามีระหว่างนั้นนางได้กำเนิดโอรสนามว่า ฮอรัส 
เมื่อทราบว่าหีบศพอยู่ที่ไบบลอส นางได้ฝากโอรสไว้ที่เกาะแซมมิสและ
จำแลงร่างเป็นหญิงชราเข้าไปในวังของกษัตริย์ไบบลอสเพื่อถวายการดูแลโอรสของพระองค์ที่ทรงประชวร จนหายเป็นปกติ

คืนวันหนึ่ง  นางได้ลอบเข้าไปในท้องพระโรงและร่ำให้กับเสาที่หีบศพอยู่ข้างใน ราชินีแห่งไบบลอสมาพบเข้า และรับทราบเรื่องราวทั้งหมด ด้วยความสงสารราชาและราชินีแห่งไบบลอส จึงมอบเสาต้นนั้นและหีบศพให้เทพีไอซิส พระนางนำหีบนั้นกลับอียิปต์ และไปไว้ที่เกาะแซมมิส
ข้าจะไม่ให้มันได้ตายอย่างสงบเทพเซ็ท ประกาศเมื่อทราบเรื่อง จากนั้นพระองค์ได้เสด็จมายัง แซมมิสและสับร่างพระเชษฐา ออกเป็น 14 ชิ้น ทิ้งลงแม่น้ำไนล์  เทพีไอซิสและอนูบิสผู้เป็นหลานชายได้ช่วยกันเก็บร่างของโอซิริสขึ้นมาและทำเป็นมัมมี่ เพื่อรอวันคืนชีพ

กล่าวฝ่ายเซ็ท หลังจากจัดการกับร่างของโอซิริสแล้ว ก็ได้จำแลงร่างเป็นแมงป่องลอบเข้าไปต่อยฮอรัสในที่บรรทมจนสิ้นพระชนม์  “โอ  ข้าแต่สุริยเทพ สวามีของข้าได้สิ้นไปแล้ว ไยต้อง พรากชีวิตโอรสของข้าด้วยไอซิสคร่ำครวญ เมื่อทราบเรื่อง และด้วยบูญญาธิการของฮอรัส จึงทำให้พระองค์คืนชีพอีกครั้ง ยังความเคียดแค้นแก่เทพเซ็ทมาก จงระวังไว้ให้ดี เมื่อใดที่มันเติบใหญ่ขึ้น  ข้าจะเอาชีวิตมันเซ็ทประกาศก้อง
ฮอรัสเติบใหญ่ขึ้นด้วยการเลี้ยงดูของพระมารดาที่แซมมิส และได้รับการฝึกเพลงอาวุธและเวทมนต์ จากพระมารดาและเทพฮามาคิสต์ผู้เป็นลุง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ฮอรัสและฮามาคิสต์พร้อมเหล่านายทัพ ก็ยกไพร่พลมาชิงบัลลังก์คืนและล้างแค้นให้พระบิดา กองทัพของเซ็ทปะทะกับกองทัพของฮอรัสที่เอ็ดฟู ริมแม่น้ำไนล์ และสงครามก็เริ่มขึ้น

เทพฮอรัสผู้มีเศียรเป็นเหยี่ยว ต่อสู้กับเทพเซ็ท ผู้มีเศียรเป็นลา)

หลังจากต่อสู้ได้ไม่นานทหารของเซ็ท ก็เริ่มล่าถอย ฮามาคิสต์ได้กลายร่างเป็นสฟิงส์ยักษ์และตะปบเหล่าทหารศัตรูที่กำลังแตกพ่ายเอาไว้ได้   
วันเวลาของท่านกำลังจะจบลงแล้ว เซ็ทฮอรัสประกาศก้องกลางสมรภูมิ แต่เซ็ทยังไม่ยอมแพ้พระองค์โจนลงแม่น้ำไนล์และได้แปลงร่างเป็นฮิปโปโปเตมัสยักษ์เข้าเล่นงานฮอรัส  เจ้าชายหนุ่มกระโดดขึ้นหลังของมัน และเสกฉมวกเหล็กยาวสามสิบฟุตแทงลงไปยังศรีษะฮิปโป ทะลุผ่านสมอง ยังผลให้เทพเซ้ทสิ้นพระชนม์ทันที
หลังจากนั้น ฮอรัสก็ขึ้นเป็นฟาโรห์ปกครองอียิปต์ พระนามของพระองค์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ ของฟาโรห์ทุกพระองค์นับแต่นั้นมา

ที่มา Click








วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

นักโบราณคดีเชื่อเจอแล้ว ขุดพบ "โครงกระดูกโมนา ลิซ่า" ตัวจริง



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 ก.ค.55 ว่า กลุ่มนักโบราณคดีได้ขุดพบโครงกระดูกที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของ "นางลิซ่า เกรนาดินี ภรรยาพ่อค้าผ้าไหมผู้ร่ำรวย และสตรีผู้เป็นแบบวาดภาพ "โมนา ลิซา" เป็นแบบวาดภาพให้แก่" ลิโอนาร์โด ดาวินซี ยอดจิตรกรเอกและนักสถาปัตยกรรมอมตะชื่อก้องโลก เมื่อปี 1504  โดยกลุ่มนักโบราณคดีได้ขุุดห้องใต้ดินในสำนักนางชีแห่งหนึ่งในเมืองฟลอเรนซ์ ของอิตาลี ก่อนจะพบกับกระโหลกศีรษะมนุษย์ ที่มีลักษณะเป็นของผู้หญิง รวมทั้งกระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพกด้วย


รายงานระบุว่า ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ลิซ่า เกรนาดินี ได้บวชเป็นชี หลังจากสามีของเธอเสียชีวิต และถูกฝังอยู่ในสำนักนางชี "เซ็นต์ เออร์ชูล่า" เมื่อปี 1542 โดยขณะนั้นเธอมีอายุ 63 และเชื่อกันว่าเธอถูกฝังร่างในห้องใต้ดิน และนักโบราณคดีเชื่อว่า อิฐหนาของสำนักนางชีแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนเป็นค่ายทหาร


ขณะเดียวกัน กลุ่มนักโบราณคดียังมีแผนจะใช้ดีเอ็นเอตรวจสอบกระดูกเพื่อเปรียบเทียบกับซากของที่เชื่อว่าเป็นลูกนางลิซ่า ที่ถูกฝังอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย โดยเมื่อมีการพิสูจน์ตัวตนของเธอชัดเจนแล้ว กลุ่มนักโบราณคดีจะใช้เทคนิกการประกอบโครงหน้าของกระดูก เพื่อเปรียบเทียบกับใบหน้าของเธอที่ดาวินซีได้ภาพวาด "โมนา ลิซ่า" ไว้ด้วย





ที่มา Click



จับเท็จ "รหัสลับดาวินชี"

รหัสลับดาวินชี? หรือ THE DAVINCI CODE เป็นนวนิยายซ่อน เงื่อนที่แดน บราวน์ (DAN BROWN) ประพันธ์ขึ้น และวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม 2546 ซึ่งก็ติดอันดับหนึ่งหนังสือขายดีทันที จนถึงเดี๋ยวนี้ขายได้ถึง 15 ล้านเล่ม และแปลออกเป็น 30 ภาษา ทั้งนี้เพราะหนังสือเล่มนี้ ได้วางพล็อตเรื่องที่ทำให้ ผู้อ่านต้องตื่นตะลึง และสร้างความสั่นสะเทือน ให้แก่คริสต์ศาสนจักรพอสมควร โดยประเด็นสำคัญของนิยายมีดังนี้
ผู้ประพันธ์อ้างว่า ในประวัติที่แท้จริงของ จีซัส ไครสท์ หรือองค์เยซูนั้น พระองค์ ทรงแต่งงานและมีทายาทสืบสายพระโลหิต โดยผู้ที่ทรงสมรสด้วย คืคือสาวกใกล้ชิดนามว่า แมรี แม็กดาลีน ซึ่งเป็นโสเภณี จากนั้นเชื้อพระวงศ์แห่งองค์เยซูก็ได้สืบทอดต่อๆกันมา ยาวนานกว่า 2,000 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ (ซึ่งนี่ก็คือความลับที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อของ จอกศักดิ์สิทธิ์ หรือโฮลีย์เกรล แต่ทุกคนเข้าใจผิดว่าจอกนี้คือถ้วยที่องค์เยซูใช้เสวยในมื้อสุดท้าย หรืออาจเป็นจอกที่ใช้รองรับพระโลหิตของพระองค์ไว้) แน่นอนว่าหากความลับในเรื่องเชื้อพระวงศ์แพร่สะพัดออกไป คริสตจักรจะต้องวุ่นวาย เพราะนั่นย่อมหมายถึงว่าองค์เยซูก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข มิใช่เทพหรือพระบุตรของพระเจ้าแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อเหล่านักรบผู้พิทักษ์ศาสนาหรืออัศวินเทมปลาร์ ได้ค้นพบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ในศตวรรษที่ 11 ประมุขแห่คริสต์นิกายคาทอลิก จึงได้มีบัญชาให้กำจัดสายพระโลหิตแห่งองค์เยซูในทันที เป็นเหตุให้เชื้อพระวงศ์จำต้องหลบซ่อนกายมิให้ผู้ใดพบเห็น (นั่นคือการสูญหายของจอกศักดิ์สิทธิ์ที่มีตำนานการสืบหากันให้จ้าละหวั่น) และได้มีเสียงร่ำลือว่าพวกเขาพำนักอยู่ในฝรั่งเศส โดยมีองค์กรลับชื่อ ?ปริเออเร่เดอซิยอง? หรือ PRIORY OF SION คอยเฝ้าพิทักษ์ ซึ่งผู้นำของสมาคมนี้ก็ล้วนเป็นผู้โด่งดังในอดีต อาทิ เซอร์ ไอแสค นิวตัน, วีกเตอร์ อูโก (นักประพันธ์เอก), ลีโอนาร์โด ดาวินชี ฯลฯ

และนิยาย ?รหัสลับดาวินชี? ก็บรรยายถึงการฆาตกรรมตามล้างอย่างเหี้ยมโหด ที่ คริสตจักรมีต่อองค์กรลับนี้

ผู้เขียนคือ แดน บราวน์ ได้สร้างเหตุการณ์ ขึ้นมาอย่างสมจริงสมจัง จนทำให้ผู้อ่านนับล้านเกิดความพิศวง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่รู้ว่ามีความจริงอยู่มากน้อยเพียงใด

ดังนั้น จึงได้มีการสืบหาเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ โดยการสัมภาษณ์ท่านผู้มีความชำนาญในสาขาวิชาต่างๆ ทั้งนี้ ปัญหาที่จะต้องทำให้กระจ่างนั้นมีอยู่ 4 ข้อ ด้วยกันคือ
1.องค์เยซูทรงมีทายาทกับแมรี แม็กดาลีน จริงหรือ?


2.ดาวินชี ซ่อนรหัสในเรื่องนี้ไว้ในจิตรกรรมของเขาใช่หรือไม่?

3.สายพระโลหิตขององค์เยซูยังสืบทอดมาถึงเดี๋ยวนี้จริงหรือ?

4.จอกศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือไม่?


 
ก่อนที่จะพิจารณาปัญหาดังกล่าว เราควรพึงรู้ที่มาของหลักฐานที่ผู้เขียน (แดน บราวน์) ยกมากล่าวอ้าง นั่นก็คือ ภาพวาดอันลือลั่น
?อาหารมื้อสุดท้าย (THE LAST SUPPER)? ของลีโอนาร์โด ดาวินชี ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงโต๊ะอาหารยาว ซึ่งมีผู้ร่วมรับประทานอาหาร รวม 13 คน มีองค์เยซูประทับอยู่กลางภาพ

ถึงตรงนี้ก็ขอยก บางตอนจากหนังสือ ?รหัสลับดาวินชี? ที่แปลโดย ?อรดี สุวรรณโกมล? มาลงไว้


?...โซฟีพินิจดูร่างที่นั่งทางขวา ถัดจากพระเยซู...บุคคลผู้นั้น มีผมสีแดงปล่อยสบาย มือที่ประสานกันอยู่ดูบอบบาง และมีร่องรอยบ่งชี้ว่ามีทรวงอก โดยไม่ต้องสงสัย นั่นคือ...ผู้หญิงแน่นอน?
?...เดอะลาสต์ซัปเปอร์ต้องประกอบด้วยผู้ชาย 13 คนนี่นะ ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน...?


ตรงจุดนี้แหละครับ ที่ทำให้ผู้ประพันธ์ อ้างว่า ดาวินชี เขียนรูปแมรี แม็กดาลีน ไว้ทางด้านขวามือขององค์เยซู ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพว่าจีซัส กับแมรีเป็นสามีภรรยากัน แล้วยังยกข้อสังเกตอื่นๆมาประกอบด้วย เช่นว่า การวางลักษณะตำแหน่งของผู้นั่ง ทำให้ เกิดตัวอักษร M คือชื่อ แม็กดาลีน และตัวอักษร V ซึ่งสมัยโบราณ ใช้เป็นสัญลักษณ์ของสตรีเพศ

แต่ข้ออ้างเหล่านี้
ซิสเตอร์เวนดี้ เบ็กเก็ตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ชี้แจงว่า

ถ้าหากในหมู่สาวก 12 คนนั้น เป็นแมรี แม็กดาลีน เสียคนหนึ่ง แล้ว เซนต์จอห์น สาวกคนสำคัญหายไปไหน เซนต์จอห์นนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่มสดใส เขามีรูปร่างระหงอ้อนแอ้น ดังนั้น ผู้ที่อยู่ทางขวามือขององค์เยซูจึงน่าจะเป็นเซนต์จอห์น หาใช่สตรีที่ไหนไม่

ส่วนตัวอักษร V นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติแต่อย่างใด ภาพของคนที่กำลังก้มๆเงยๆก็ย่อมทำให้เกิดเป็นตัวอักษร V ได้ทั้งนั้น ดังเช่นภาพตัว V ระหว่าง ฟิลิป กับ แม็ทธิว (ซีกขวามือของภาพ) หรือแม้กระทั่งระหว่าง แม็ทธิว กับ ธาดดีอุส ก็ยังมีตัว V เล็กๆปรากฏอยู่



ภาพปูนเปียก ?อาหารมื้อสุดท้าย? มีอายุตั้งเกือบ 500 ปี มาแล้ว และชำรุดเสียหายมาก เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าบุคคลในภาพเป็นชายหรือหญิง แต่สิ่งที่น่าตระหนักอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากดาวินชี แอบเขียนภาพสตรีใส่ลงไป เขาก็น่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างแน่นอน

อีกประเด็นหนึ่งที่แดน บราวน์ หยิบยกเอามาเขียนก็คือ คนยิวซึ่งนับถือศาสนาจูดาย มีความเชื่อว่าการไม่มีทายาทสืบทอดสายเลือดนั้นเป็นบาป และองค์เยซูก็เป็นชาวยิว ดังนั้น การที่พระองค์จะทรงมีภรรยาจึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นไปได้


ในเรื่องนี้ ท่านแรบไบ (นักบวชยิว) โจนาธาน โรเมน แห่งโบสถ์ เมเดนเฮด ได้ให้ความเห็นว่า

จริงอยู่ ที่คนยิวทั่วไปมีแนวโน้มที่จะแต่งงาน หนึ่ง เพราะเป็นศรัทธาหลักของจูดาย และ สอง เป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่จะสืบพันธุ์ แต่ข้อเท็จจริงคือ ก็ยังมียิวส่วนหนึ่งที่ไม่คิดจะสมรส มีศาสดาพยากรณ์หลายคนที่ถูกบันทึกไว้ว่า ไม่เคยผ่านการสมรสเลย ดังนั้น การเป็นโสดจึงมิใช่ บาปแต่อย่างใด

และจากอีกตอนหนึ่งของหนังสือที่คุณอรดีแปลไว้


?...ตามที่เดอะไพรเออรีกล่าวไว้ แมรี แม็กดาลีน ตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน เพื่อความปลอดภัยของบุตรในครรภ์อันเป็นสายเลือดของพระคริสต์ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความช่วยเหลือของลุงที่วางใจได้ของพระเยซู คือ โยเซฟแห่งอริมาเธีย แมรี แม็กดาลีน ก็ลอบเดินทางมาฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นรู้จักกันในชื่อว่าโกล เธอพักพิงอย่างปลอดภัยในชุมชนชาวยิวที่นั่น และก็ที่ฝรั่งเศสนี่เอง ที่เธอให้ กำเนิดธิดา ชื่อของเธอคือซาราห์...?

?...ธิดาของแม็กดาลีนสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ยิว คือพระเจ้าเดวิดและพระเจ้าโซโลมอน ด้วยเหตุนี้ชาวยิวในฝรั่งเศสจึงถือว่าแม็กดาลีนเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ และนับถือเธอในฐานะบรรพสตรีแห่งกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายกันมา...?

?...เชื้อสายแห่งพระคริสต์ก็เติบโตขึ้นอย่างเงียบเชียบภายใต้ที่หลบซ่อนในฝรั่งเศส จนกระทั่งมีการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญมากในศตวรรษที่ 5 เมื่อเชื้อสายแห่งพระคริสต์เสกสมรสกับเชื้อ พระวงศ์ฝรั่งเศส และสร้างวงศ์วานเชื้อสายที่รู้จักกันในนามสายเลือด เมอโรแว็งยิอัง...?


จากนั้นหนังสือ ?รหัสลับดาวินชี? ก็ได้ เอ่ยพระนามพระเจ้า
ดาโกแบรต์ กษัตริย์แห่งราชวงศ์เมอโรแว็งยิอัง ผู้ซึ่งถูกลอบสังหาร (โดยวาติกัน?) แต่พระโอรสคือ ซิยิสต์แบรต์ ลอบหนี และสืบเชื้อสายต่อมาได้ กระทั่งสุดท้าย ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนที่สืบเชื้อสายจากราชวงศ์นี้ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน!

เกี่ยวกับข้ออ้างนี้ ศาสตราจารย์ พอล โฟราเคร แห่งสาขาวิชาประวัติศาสตร์ยุคกลาง มหา'ลัยแมนเชสเตอร์ กล่าวว่า


?จากหลักฐานที่มีอยู่ กษัตริย์ดาโกแบรต์ มีพระองค์จริง และเป็นที่รู้จักกันดี พระราชโอรสซิยิสต์แบรต์ ก็มีพระองค์จริงเช่นกัน ถัดมาคือพระเจ้า ดาโกแบรต์ที่ 2 ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าทรงสมรสหรือไม่ มีรัชทายาทหรือไม่ แม้ว่าผมจะคลุกคลีกับประวัติศาสตร์ยุคกลางมานานเกือบ 30 ปี แต่ผมก็ไม่เคยค้นพบผู้เป็นทายาท สืบทอดจากพระองค์ลงมา อีกทั้งราชวงศ์เมอโรแว็งยิอังก็สาบสูญไปตั้งแต่ ค.ศ.751 นานตั้งพันกว่าปีมาแล้ว จึงไม่อาจรู้ได้จริงๆว่า ยังมีเชื้อสายพระราชวงศ์เหลืออยู่หรือไม่?

สรุปแล้ว คณะผู้ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงก็ลงความเห็นว่า ?รหัสลับดาวินชี? นั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งเพ (It's all a sham)

ที่มา Click



มหัศจรรย์ทุ่งหินโบราณแห่งบิสไท

บทความนี้ ขอนำเสนอสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาค่ะ














ที่มา Click


โครงกระดูกมนุษย์บนดวงจันทร์


CONSPIRACY THEORY หรือทฤษฎีสมคบคิดเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ไม่อาจหาคำมาอธิบายได้ ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ และถ้ามีจริงรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจใดจะมีอำนาจและทรงอิทธิพลพอที่จะทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ UFOs, MIB, Aliens, Moon & Mars, Creatures & Monsters etc. หรือว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าและแนวคิดที่น่าสนใจที่มีเหตุผลบางประการมารองรับ บางเรื่องราวดูเป็นสิ่งน่าเหลือเชื่อและไม่น่าเป็นไปได้ บางเรื่องมีเหตุผลและมีน้ำหนักพอ อะไรเป็นต้นตอของสิ่งเหล่านี้ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปกปิดความลับต่างๆ เหล่านี้ รัฐบาลของประเทศมหาอำนาจหรือหน่วยงานลับ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากนอกพิภพ ก็ไม่อาจเป็นที่ทราบได้ เราเพียงแต่รู้เรื่องราวเหล่านี้ในนาม CONSPIRACY THEORY

โครงกระดูกมนุษย์บนดวงจันทร์ เรื่องราวที่ถูกปกปิดมานานหลังจากการไปเยือนดวงจันทร์ด้วยยาน Apollo 11 ของอเมริกา จากภาพถ่ายของยานลูนาร์โมดูล (Lunar Module) ได้พบสิ่งแปลกประหลาดที่เป็นภาพของโครงกระดูกมนุษย์บนดวงจันทร์ !!! โดยจากคำกล่าวอ้างและจากภาพถ่ายมากกว่าพันใบของ Dr.Kang Mao-Pang นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวจีน ซึ่งแถลงเรื่องนี้ที่ปักกิ่ง และเป็นผู้เคยทำงานให้กับองค์การนาซ่า (NASA) เป็นผู้ที่ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้และแสงดรูปภาพที่ว่า บางภาพเป็นภาพรอยเท้าเปล่าประทับอยู่บนผิวดวงจันทร์ ไม่ใช่ภาพแบบที่นาซ่าเคยนำออกมาแสดงแต่อย่างใด Dr.Kang กล่าวว่าเป็นภาพที่นำมาจากการสำรวจดวงจันทร์ครั้งนั้น โดยเค้าอ้างว่าได้มาจากผู้ปฏิบัติการ Apollo 11 ในนาซ่า แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวตน และไม่ใช่ได้มาจาก 3 คนนั้น (นีล อาร์มสตรอง, เอ็ดวิน (บัซ) อัลดริน และ ไมเคิล คอลลินส์ ) เขากล่าวว่าคนที่ให้ทั้งข้อมูลและรูปถ่ายเหล่านี้ไม่มีชื่ออยู่ปฏิบัติการครั้งนั้นด้วยซ้ำไป "ทางอเมริกานั้นปกปิดเรื่องนี้ และซ่อนมันเอาไว้กว่า 20 ปีมาแล้วทั้งยังเก็บโครงกระดูกมนุษย์ไว้อย่างลับๆ จนบัดนี้ และอเมริกานั้นไม่คิดว่าคนอื่นพิเศษพอจะแบ่งบันข้อมูลต่างๆ ที่มีให้" ส่วนทางอเมริการนั้นก็ไม่ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องรูปภาพถ่ายมากกว่า 1,000 เหล่านี้แต่อย่างใด จากภาพถ่ายของรอยเท้าเปล่าของมนุษย์และโครงกระดูกบนผิวหน้าดวงจันทร์นั้น รายละเอียดแสดงให้เห็นถึงว่าคนเหล่านั้นสวมกางเกนยีนส์ !?!?!?!บางทีอาจเป็นไปได้ว่ากระดูกเหล่านี้อาจถูกขนมายังดวงจันทร์ด้วยเหตุผลบางประการ ซึ่งซากโครงกระดูกเหล่านั้นถูกแยกออกเป็นส่วนๆ Dr.Kang กล่าวว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ว่ามันอายุเท่าใดถ้าไม่ได้ทำการวิเคราะห์มันโดยตรง และกล่าวว่าเขายังครอบครองทั้งรูปถ่ายและเอกสารจดหมาย ที่ซึ่งระบุเกี่ยวกับภารกิจบนดวงจัทร์และโครงกระดูกว่ามันเป็นโครงกระดูกมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจจะเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกพิภพที่ทำการลักพาตัวมนุษย์ไปเพื่อทดลอง พอเสร็จการทดลองแล้วร่างของมนุษย์ทดลองอาจจะถูกนำมาทิ้งบนดวงจันทร์ก็เป็นได้ เอกสารที่เขานำมากกล่าวอ้างนั้นประทับตรา "ลับที่สุด" บนเอกสารนั้นระบุวันที่ 3 ส.ค.1969 นั่นหมายความว่าหลังจากที่ยาน Apollo 11 กลับสู่โลกได้ 2 สัปดาห์หลังที่ นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดรินและไมเคิล คอลลินส์ได้ไปเหยียบดวงจันทร์(ไมเคิลไม่ได้ลง) ในวันที่ 20 ก.ค. 1969 ซึ่งรายงานจากการไปดวงจันทร์ส่วนใหญ่จะถูกขีดทับจนไม่สามารถอ่านได้ แต่ก็พออ่านได้ความว่าสิ่งมีชีวิตนอกพิภพมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ทางนาซ่าเองก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้โดยกล่าวว่าไม่มีการปกปิดอะไรทั้งสิ้น และปฏิเสธต่อหลักฐานของดอกเตอร์ชาวจีนผู้นั้น และกล่าวว่าทุกอย่างทางเราก็แสดงไปให้ดูแล้วยังไม่ยอมเชื่อกันอีก  ก็อยู่ในเรื่องราวบทตำนานของทฤษฎีสมคบคิดและเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง ก็ไม่เป็นรู้แน่นอนว่าทางนาซ่าหรือ Dr.Kang จะเป็นผู้ที่โกหกต่อชาวโลก ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินดีกว่า

 
ที่มา Click

มายากับการบูชายัญ


ป่าฝนเม็กซิโกตอนใต้ เป็นที่ซึ่งอารยธรรมหนึ่งเคยปรากฏอยู่ ประมาณ 3,000 ปีก่อน เป็นอารยธรรมที่มีความรุนแรง ป่าทึบแห่งนี้ซ่อนความร้ายกาจ และน่าตกตะลึงเอาไว้นานหลายศตวรรษแล้ว มันคือนครลับแล ที่ดำเนินด้วยการบูชายันต์มนุษย์ .. บรื๊อออออออ

ที่มา Click

 

ค้นพบรองเท้าหนังเก่าแก่ กว่า 5,500 ปี



เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 53 ที่ผ่านมา
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า
นักโบราณคดีได้ขุดค้นพบรองเท้าอายุ 5
,
500 ปี
กลางถ้ำแห่งหนึ่งในอาร์มาเนีย
ชายแดนติดกับประเทศอิหร่าน ---> ภาพเป็นข่าว

รู้หรือไม่ พีระมิดแห่งอียิปต์ต้องใช้คนสร้างกี่คน


ในบรรดาเหล่าโบราณสถานทั้งหลายที่คนโบราณสร้าง ไม่มีถาวรวัตถุ

ใดประทับใจมนุษย์ปัจจุบันได้มากเท่าพีระมิด ความเชื่อมั่น ในศาสนา

อย่างจริงจังของชาวอียิปต์เมื่อ 4,800 ปี ก่อนได้ผลักดันให้พวกเขา เนรมิต
สิ่ง

มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลกขึ้นมาเพื่อถวายเป็นกษัตริย์บูชาแก่องค์ฟาโรห์ ที่เขานับถือ

ประดุจเทพเจ้า ผู้คนชาวอียิปต์ในสมัยนั้นนิยมฝังศพในหลุมกลางทะเลทราย ท่ามกลาง

อากาศที่ร้อนอบอ้าวศพที่จะฝังจะเน่าเปื่อยไม่หมด บางศพจึงมีผิวหนังและผม

หลงเหลืออยู่ การได้เห็นซากศพที่มีลักษณะเช่นมัมมี่ได้ทำให้ผู้คนสมัยนั้นมีความ

คิดจะเก็บพระศพขององค์ฟาโรห์ ในสุสานพิเศษที่เรียกพีระมิดบ้าง
 
กษัตริย
 Zoser เป็นกษัตริย์ระองค์แรกที่ทรงสร้างพีระมิดขึ้นที่เมือง Memphis

และในเวลาต่อมาอีกไม่นานกษัตริย์ Khufu ก็ได้สร้างพีระมิดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่เมือง Giza พีระมิดนี้สูง 146.7 เมตร มีฐานกว้างและยาว 230 เมตร

ประกอบด้วยหิน 2 ล้าน 3 แสนก้อนหิน แต่และก้อน มีนํ้าหนักโดยเฉลี่ย 2.5 ตัน มีประตูเปิด เข้าสู่ภายในพีระมิดที่ระดับเหนือพื้นดิน 18 เมตร Herodotus ได้เคยบันทึกไว้ว่า การสร้างพีระมิดลูกนี้ต้องใช้คน  1 แสนคน และเวลาในการก่อสร้างนาน 30 ปี
 
แต่
Herodotus เขียนข้อมูลนี้หลังจากที่พีระมิดถูกสร้างเสร็จแล้ว 2,000 ปี

ดังนั้นข้อมูลเขาจึงไม่น่าเชื่อถือ คำถามที่น่าสนใจคือ พีระมิด
Khufu ต้องใช้คนสร้างกี่คน

พีระมิดแห่งอียิปต์ต้องใช้คนสร้างกี่คน
 
คําถามนี้ตอบยากเพราะในสภาพความเป็นจริงไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าคนอียิปต์ยุคนั้น

มีวิธีการใดและใช้อุปกรณ์ใดบ้างในการสร้าง
 
ในวารสาร
Cambridge Archaeological Journal ฉบับเดือนมิถุนายน พ..2538 S.K. Wier ได้รายงานว่า จากผลการคํานวณอย่างหยาบๆ โดยการใช้วิชากลศาสตร์และประวัติศาสตร์ จํานวนคนที่ใช้ในการก่อสร้างพีระมิดมีประมาณ 10,000 คนเท่านั้นเอง Wier คิดว่าในการสร้างพีระมิด Khufu ไม่มีใครล่วงรู้ว่า กษัตริย์ Khufu จะทรงครองราชย์นานกี่ปี

ดังนั้นเขาจึงคาดคะเนว่าระยะเวลาที่ใช้ในการก่อสร้างคงจะนานพอๆ กับช่วง
เวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ ซึ่งก็นานประมาณ
23 ปี หรือ 8,400 วัน

Wier ยังสมมติต่ออีกว่า หินที่ใช้ในการสร้างนั้นถูกสกัดเกลา และเคลื่อนย้าย

โดยใช้พลังคนเพียงอย่างเดียว เพราะชาวอียิปต์สมัยนั้นไม่มีปั้นจั่นหรือลูก

รอกใดๆ และการสร้างได้เริ่มสร้างจากฐานสู่ยอด เมื่อเขาเอาปริมาตรของพีระมิด


(2.6 ล้านลูกบาศก์เมตร) หารด้วยเวลา เขาก็พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วกรรมกรจะต้องติดตั้งหินปริมาตร 309 ลูกบาศก์เมตรในหนึ่งวัน แต่นั่นก็มิได้หมาย

ความว่าทาสหรือกรรมกรเหล่านั้นจะทํ างานได้ในอัตรานี้ทุกวัน เพราะพีระมิดยิ่งสูง

กระบวนการขนหินก็ยิ่งยาก และพื้นที่ทํ างานในบริเวณยอดจะยิ่งน้อย จึงเป็นไปได้ว่าความเร็วในการก่อสร้างจะสูงในระยะแรก แต่จะช้าในระยะหลัง

Wier ได้ประมาณต่ออีกว่า เมื่อกรรมกรแต่ละคนมีความสามารถในการทำงานได้ 2.5 แสนจูลต่อวันและพลังงานที่ต้องใช้ในการสร้างพีระมิด Khufu ทั้งลูกมีค่า 2.5 ล้านจูล ดังนั้นการสร้างจึงต้องใช้คน 1,250 คน ทํางาน 8,400 วัน แต่การใช้คนจํ านวนน้อยเช่นนี้ดูๆ จะไม่เหมาะสมกับสถานภาพของกษัตริย์อียิปต์เลย เพื่อให้ได้ตัวเลขที่สมเหตุสมผล Wier ได้อาศัยข้อมูลจาก

ภาพวาดบนผนังพีระมิดชื่อ
Djihutihotep แห่งเมือง Deir-el-Bersha
ซึ่งเป็น

ภาพของอนุสาวรีย์ขนาดสูง
5 เมตร และหนัก 50 ตัน ที่ต้องใช้คนลาก 172
คน

นั่นก็หมายความว่าทาสแต่ละคนต้องออกแรงโดยเฉลี่ย
11.5
กิโลกรัม

เพื่อลากหินที่หนัก
330 กิโลกรัม โดยอาศัยข้อมูลนี้ Wier
จึงสรุปว่าการสร้าง

พีระมิด
Khufu ต้องใช้คนอย่างน้อย 9,500 คน และอย่างมากไม่เกิน 12,800
คน

ในระยะเริ่มต้น และเมื่อถึงระยะสุดท้ายของการสร้างจำนวนคนที่จำเป็น

จะต้องมีอย่างน้อย
35 คน และอย่างมากไม่เกิน 41 คน
 

โดยสรุป
Wier มีความเห็นว่า คนหมื่นคนก็เพียงพอสำหรับการสร้างพีระมิด

Khufu แล้วและเมื่อพิจารณาจำนวนประชากรของอียิปต์ในขณะนั้น

(1.1 – 1.5 ล้านคน)
เราก็จะเห็นว่าจำนวนคนก่อสร้างคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของ
คนทั้งประเทศ เขาจึงไม่เห็นว่างานก่อสร้างพีระมิดเป็นเรื่องที่ประเทศต้องทุ่มเททรัพยากรแต่ประการใด

แต่ประเด็นที่น่าประหลาดใจคือ โครงการนี้ ใช้เวลาดำเนินการนานถึง 23 ปี ซึ่งถือว่าวิศวกรยุคนั้นมีการวางแผนและการควบคุมทาสในการก่อสร้างได้นาน และมีประสิทธิภาพมาก

ปิรามิด พลังงานและความลับของจักรวาล


ปิรามิด พลังงานและความลับของจักรวาล


Great Pyramid
โครงสร้างและวัสดุ : Limestone Granite
ความสูง : 149.5m (ความสูงในปัจจุบัน 137m.)
ฐาน : 214.5m(เท่ากันทุกด้าน)
มุมลาดเอียง : 51 องศา
น้ำหนักรวม : 65 ล้านตัน (หินแต่ละก้อนประมาณ 2.5 ตัน ก้อนหนักที่สุดถึง 9 ตัน)

ปิรามิด พลังงานและความลับของจักรวาลหลายปีมานี้ รูปทรงของตัวปิรามิดเองได้สร้างประสบการณ์ และความสนุกทางด้านพลังงาน ให้กับผู้สนใจและทดลองใช้มากมาย ทำให้กลายเป็นจุดสนใจต่อผู้คนต่างๆทั่งโลกที่จะค้นหาพลังที่แท้จริงของมัน ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? ฃึ่งส่วนมากได้นำไปทดลองใช้ในด้านต่างๆแล้วได้ผลดีมากมาย ตัวอย่างเช่น...

ด้านอาหาร,การเกษตร และการเลี้ยงสัตว์
การนำพืช อาหารหรือสิ่งมีชีวิตที่เติบโตได้ ไปเลี้ยงดูในปิรามิด ผลที่ได้รับคือ :
-อาหารยังคงสด ได้ยาวนานกว่าดิม 2-3 เท่า
-อาหารเปลี่ยนรสชาติไป โดยรสในธรรมชาติจะถูกขยายให้แรงขึ้น ความเป็นกรดจะลดลง
-กลิ่นอาหารที่ถูกปลอมปน จะจางหายไป
-ปิรามิดจะขจัดน้ำออก ทำให้แห้งแต่ไม่เน่าเสีย หยุดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้
-การเลี้ยงกุ้งน้ำเค็ม ปกติมีอายุ 6-7 สัปดาห์ แต่ภายในปิรามิดอายุเกินไปถึง 3 เท่า
-สัตว์ที่อาศัยอยู่ รอบๆบริเวณ นิสัยไปในทางบวก แมวกับหมาอาศัยอยู่ร่ามกันได้อย่างประหลาด

ด้านการแพทย์-แผลที่เย็บหายไว และติดกันเร็วขึ้น2เท่า
-ความดันโลหิตที่ผิดปกติ กลับมาสู่จุดสมดุลย์ได้
-คนที่เฉี่อยชา กลับดูกระฉับกระเฉงขึ้น
-ผู้ที่มีอาการทางสมอง มีผลลัพธ์ไปในทาวบวกเร็วขึ้น


การนั่งสมาธิกับปิรามิด
-คลื่นสมองอัลฟาเพิ่มขึ้น
-สงบนิ่ง ดิ่งลงลึกมากกว่าเดิม
-เมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องแสงออร่า แสงสว่างปรากฎเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผลอื่นๆ ที่เกิดขึ้น....
-บางคนมีอาการปวดเสียวคล้ายหนามแทงบนผิว (เป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆที่ผิวหนัง)
-บางคนมีอาการคลื่นไส้ เนื่องจากสารพิษในร่างการถูกขับออกมา
-อุณหภูมิร่างายเพิ่มสูงขึ้น (เหมือนได้ออกกำลังกาย)
-การบิดเบือนกาลเวลาให้ช้าลง (เข้าไปใช้ในช่วงสั้นๆแต่กลับรู้สึกว่าได้พักผ่อนเต็มที่)

ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังของปิรามิด กล่าวไว้ว่า....
เหตุทีเป็นเช่นนั้นอาจเนื่องมาจาก รูปทรงของมันสามารถขยายคลื่นสัญญาณได้ โดยมีตัวเราเป็นผู้ส่งคลื่น คล้ายเครื่องรับและเครื่องส่ง โดยปิรามิดพยายามสร้างแรงสั่นสะเทือนเคลื่อนย้ายอะตอมที่เป็นส่วนเกินออกไป คงให้เหลือไว้เฉพาะอะตอมต้นกำเนิดเท่านั้น ธาตุของคลื่นผู้ส่ง และมุมเวกเตอร์ของปิรามิด สร้างรูปแบบของพลังงาน ให้เกิดความถี่สั่นสะเทือนและขยายให้แรงขึ้น ใหญ่ขึ้นได้ และจัดเรียงโมเลกุลใหม่ เช่นโมเลกุลของธาตุน้ำทรงแปดเหลี่ยม ให้เป็นแบบแถวเดี่ยวอีกครั้ง...

กว่าจะเป็น มัมมี่ !!!

ในสมัยอียิปต์โบราณ เมื่อมีคนตายก็จะนำศพไปฝังไว้ในทะเลทรายอันร้อนระอุ ความร้อน และความแห้งแล้งทำให้ร่างกายแห้งอย่างรวดเร็ว โดยที่แบคทีเรียไม่มีโอกาสได้ย่อยสลายศพเสียก่อน จึงกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติ คงจะมีการค้นพบโดยบังเอิญ


ต่อมาชาวอียิปต์ก็เริ่มใช้โลงบรรจุศพก่อนฝัง เพื่อป้องกันมิให้สัตว์ป่าแทะกินศพ แต่ก็กลับพบว่า ซากศพที่ฝังในโลง ได้เปื่อยเน่าไป ไม่แห้งและอยู่คงทนเหมือนแต่ก่อน เพราะโลงศพทำหน้าที่เก็บกักความชื้นจากร่างกาย เพียงพอที่จะอำนวยให้แบคทีเรียเจริญเติบโต และทำการย่อยสลายให้ศพเน่าเปื่อยสูญไปได้

ต่อมาอีกหลายร้อยปี ชาวอียิปต์ก็ได้ศึกษาทดลองวิธีต่างๆเพื่อจะรักษาสภาพศพให้คงทนอยู่ได้ กรรมวิธีในการรักษาศพให้คงทน ประกอบด้วยการแช่อาบศพด้วยสิ่งที่ชะงักการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แล้วพันด้วยแถบผ้าลินิน ปัจจุบันเราเรียกกรรมวิธีนี้ว่า การทำมัมมี่ ขั้นตอนการทำมัมมี่ มีอยู่ 13 ขั้นตอนนะคะ
ที่มา Click