วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คัมภีร์กุรอานยุคโบราณกลายเป็นคัมภีร์ต้องห้าม !



เยเมนอ้างพบอัลกุรอานเขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุดของโลก

یمن مدعی کشف قدیمی‌ترین قرآن دست‌ نویس دنیا شد

คัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุดของโลกได้ถูกพบในประเทศเยเมน

ตามการรายงานของสำนักข่าวอีสนา (ISNA) ; ชายชาวเยเมนผู้หนึ่งอ้างว่าได้พบต้นฉบับของพระคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุด แต่ได้ปฏิเสธที่จะส่งมอบวัตถุโบรานอันทรงคุณค่านี้

ตามการรายงานของเว็บไซต์ภาษาอาหรับ “adengulfnews”  ; บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลของเยเมนเสนอที่จะจ่ายเงินจำนวน 56,000 ดอลลาร์เพื่อที่จะขอรับมอบต้นฉบับของคัมภีร์อัลกุรอานที่หายากนี้จากผู้ชายคนนี้ แต่เขาได้ยืนกรานที่จะเก็บรักษามันไว้ด้วยตัวเอง

เขาได้อ้างว่า ในขณะที่เขาได้ลงมาจากภูเขาลูกหนึ่งทางทิศใต้ของเมือง "ดะฮาล" เขาได้พบเห็นคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือนี้ถูกห่อหุ้มอยู่ในปกหนังซึ่งอยู่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง

การตรวจสอบต่าง ๆ ในเบื้องต้นที่กระทำต่อคัมภีร์อัลกุรอานฉบับนี้ได้ยืนยันถึงความเป็นของแท้และความเก่าแก่ของคัมภีร์เล่มนี้ และถือว่ามันเป็นต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

บนหน้าแรกของคัมภีร์อัลกุรอานฉบับนี้ถูกเขียนว่า : "ต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือนี้ได้ถูกเขียนขึ้นในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 200"

อักษร (ฮุรูฟ) ต่าง ๆ ที่ถูกใช้คัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือฉบับนี้ไม่มีจุด (นุกเฏาะฮ์) เหมือนกับที่มีอยู่ในภาษาอาหรับยุคปัจจุบัน และนี่คือสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ว่า คัมภีร์อัลกุรอานฉบับนี้เป็นของเก่าแก่ในยุคอดีต จุด (นุกเฏาะฮ์) ต่าง ๆ ได้ถูกนำเข้ามาใช้ในตัวอักษร (ฮุรูฟ) ต่าง ๆ ของภาษาอาหรับก็เพื่อที่จะจำแนกความแตกต่างของบรรดาตัวอักษรที่คล้ายคลึงกันในภายหลัง

ชายชาวเยเมนผู้นี้ยังได้อ้างอีกว่า นอกจากนี้ต้นฉบับของคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยลายมือนี้แล้ว เขายังได้พบดาบซุลฟิก๊อรที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้มอบเป็นของขวัญให้กับท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ.) อีกด้วย
เครดิตคลิ๊ก


โลกตะลึง คัมภีร์กุรอานยุคโบราณเผยโฉม!!!

ณ ประเทศเยเมน ได้มีการค้นพบต้นฉบับคัมภีร์เก่าแก่โบราณในสุเหร่าที่เมือง Sana’a แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้เป็นภาษาที่แม้แต่นักโบราณคดีแขกชาวเยเมนยังอ่านไม่ออก จึงต้องพึ่งพานักวิชาการฝรั่งชาวเยอรมันผู้ชำนาญด้านภาษาโบราณ ศาสตราจารย์ Gerd R. Puin จากมหาวิทยาลัย Zaarland ได้ถูกรับเชิญมาเพื่อการนี้โดยตรง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสุเหร่าที่ค้นพบ ศูนย์ศึกษาตำราโบราณได้ถูกสถาปนาขึ้น เพราะใคร ๆ ต่างก็อยากทราบว่า คัมภีร์เก่าคร่ำคร่าของบรรพบุรุษเหล่านี้ได้บอกเล่าเรื่องราวอะไรไว้กันแน่ นับว่าพระเจ้ายังเข้าข้างที่บนโลกใบนี้ยังมีคนอ่านออก ศาสตราจารย์ Puin และเพื่อนของเขา Grav V. Bothmer ได้ช่วยกันศึกษาชิ้นส่วนคัมภีร์ที่เขียนด้วยลายมือซึ่งหลุดเป็นชิ้น ๆ แล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ อัลกุรอานของชาวมุสลิม ที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างลึกลับตลอดพันกว่าปี

เก่าแก่กว่าฉบับปัจจุบันเสียอีก!!! ด้วยวิธีพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์ ศาสตราจารย์ Puin ได้ทดสอบด้วยวิธีคาร์บอน 14 แล้วพบว่า คัมภีร์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย ค.ศ. 645 – 690 ส่วนวิธี calligraphic บ่งชี้ว่าสร้างขึ้นประมาณ ค.ศ. 710 – 715 สรุปแล้วก็คือ เก่ากว่าต้นฉบับ Uthman ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาก ถือเป็นการหักล้างสมมติฐานที่ว่าคัมภีร์ฉบับปัจจุบันเป็นกุรอานฉบับดั้งเดิมขนานแท้ลงอย่างสิ้นเชิง

ย้อนยุคกุรอาน สอนอะไรไว้กันแน่..?
หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองได้ลงมืออ่านคัมภีร์กุรอานโบราณอย่างรอบคอบ โดยอ่านได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะภาษาที่ใช้มีความเก่าแก่มาก ภาษาที่ใช้ไม่ใช้ภาษาอาราบิคล้วน ๆ แต่ใช้ภาษาต่างชาติด้วยคือ Syriac Aramaic ผู้อ่านจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องราวในคัมภีร์กุรอานโบราณเป็นอย่างดี จึงจะพอแกะร่องรอยได้ เมื่อกูรูทั้งสองได้ศึกษาเปรียบเทียบกับคัมภีร์กุรอานที่แพร่หลายในปัจจุบัน ก็พบว่ามีความแตกต่างกันหลายอย่าง


เปลี่ยนแปลงไปจากของเดิม!!!
การศึกษาคัมภีร์กุรอานโบราณนี้ทำให้ทราบว่า คัมภีร์ฉบับที่ชาวมุสลิมศึกษาอยู่ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากของดั้งเดิม อันที่จริงแล้วเนื้อหาของคัมภีร์ประกอบไปด้วยเรื่องราวก่อนสมัยนบีมูฮัมมัดเกิด เป็นการเรียบเรียงประโยคแบบเขียน ไม่ใช่บันทึกคำพูด การแต่งเรียบเรียงนี้เองทำให้มีการปรับเนื้อหาหลายครั้ง ปรับแก้กันมาเรื่อย ๆ ตลอดยุคสมัย


ความลี้ลับกับอันตรายถึงชีวิต!!!การค้นพบความจริงจากการศึกษาคัมภีร์โบราณในเยเมนของ Puin และ Bothemer นั้นเป็นสิ่งที่ต้องปิดเป็นความลับมาโดยตลอดในขณะที่ยังอยู่ในเยเมน เพราะเป็นเรื่องยากที่จะให้สังคมมุสลิมยอมรับสิ่งนี้ได้ และการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ก็อาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอข้อเท็จจริงที่พวกเขาค้นพบ เพราะอาจทำให้กลุ่มที่คลั่งศาสนาไม่พอใจได้

กลายเป็นคัมภีร์ต้องห้าม!!!
ทางการเยเมนก็ได้สั่งห้ามมิให้ Puin และ Bothmer ศึกษาวิจัยคัมภีร์โบราณนี้อีกต่อไป แต่โชคยังดีที่ทั้งสองท่านได้ถ่ายภาพชิ้นส่วนคัมภีร์ส่วนหนึ่งเอาไว้แล้ว และได้นำกลับมาศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์บทความทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับ ซึ่งPuin สรุปไว้อย่างน่าสนใจในรายงานของเขาว่า ความพยายามที่จะแปลคัมภีร์กุรอานโดยการใส่เครื่องหมายช่วยการอ่านเช่น (.) ลงไปสำหรับเผยแพร่ในหมู่ชาวมุสลิม ทำให้เนื้อหาต่างไป


ความจริงที่ท้าทายกาลเวลา...ความลับของเนื้อหาคัมภีร์กุรอานโบราณที่ทางการเยเมนพยายามปิดบังนักหนา มิให้ชาวมุสลิมด้วยกันได้รับรู้ ได้รับการชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาโดยศาสตราจารย์ Puin ผ่านหนังสือชื่อว่า The Hidden Origin of Islam ซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2008 ทั้งนี้หาอ่านได้ทั้งฉบับภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ ซึ่งผลงานดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเพื่อโจมตีความเชื่อของชาวมุสลิม แต่เป็นผลงานทางวิชาการอันมีค่าที่เปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมได้ทราบและเข้าใจต้นกำเนิดดั้งเดิมของศาสนาตนเองได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะปฏิบัติตนเป็นมุสลิมได้ตรงตามประสงค์อันเป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของผู้ก่อตั้งศาสนา มิใช่ตามคัมภีร์ฉบับใหม่ที่ถูกบิดเบือนไปแล้วจนนำมาซึ่งปัญหาและสงครามมากมายในปัจจุบัน


เครดิตคลิ๊ก

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น