วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความลี้ลับแห่งดินแดนไอยคุปต์



ตำนานความลี้ลับแห่งดินแดนไอยคุปต์  ยังคงเป็นปริศนาที่น่าสนใจมาจนกระทั่งทุกวันนี้  การค้นหาอดีตอันรุ่งโรจน์ของชาวไอยคุปต์ ถือเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีทุกคนต่างใฝ่ฝัน ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาจะได้พบโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้  จนทำให้หลายคนต่างลืมเลือนความน่าสะพรึงกลัวของดินแดนแห่งนี้ไปจนหมด
แม้ดินแดนไอยคุปต์จะล่มสลายมานานหลายร้อยปี
และยังเป็นที่เลื่องลือเกี่ยวกับอาถรรพ์แห่งคำสาป  แต่สิ่งเหล่านั้นกลับยิ่งดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ   ต่างพากันมาเยือนดินแดนแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย  รวมทั้ง  คริส  แม็คคลอเวล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ  ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับตำนานของดินแดนแห่งนี้มานานหลายปี
จนกระทั่ง ในปี 1980  คริสก็ได้เดินทางไปเยือนดินแดนไอยคุปต์เป็นครั้งแรก  และสถานที่ที่เขาเลือกจะไปค้นหาปริศนาของดินแดนแห่งนี้ก็คือ เมือง ตานิส  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนล่าง ทางทิศตะวันออกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์


หลังจากที่ได้อ่านประวัติของ นายออกัสต์ มาเรียตเต นักโบราณคดีที่เดินทางมาสำรวจเมืองตานิสเป็นคนแรก  คริสก็เริ่มสนใจเมืองนี้ขึ้นมาทันที  เขามั่นใจว่าภายใต้พื้นดินบริเวณนั้น จะต้องมีโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
ปฏิบัติการสำรวจเมืองตานิส  หนึ่งในหลายอารยธรรมอันรุ่งเรื่องของดินแดนไอยคุปต์  ได้เริ่มขึ้นด้วยการที่ คริส เดินทางมาขออนุญาตทางการของประเทศอียิปต์ 
 
  เพื่อขุดสำรวจเมืองดังกล่าว ในตอนแรกทางการอียิปต์ปฏิเสธ  เพราะเห็นว่าเมืองแห่งนี้ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก  จึงไม่ต้องการให้ใครเข้าไปล่วงล้ำ   ซึ่งยิ่งสร้างความสนใจใคร่รู้แก่คริสมากขึ้น  เขาพยายามติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางราชการของอียิปต์อยู่หลายครั้ง  จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจเมืองตานิสได้
 
คริสได้จ้างวานนักสำรวจอีก 3 คน  ให้เข้าไปช่วยเขาขุดค้นหาโบราณวัตถุอันมีค่า ยังบริเวณกำแพงแห่งหนึ่งของเมืองตานิส  โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางการอียิปต์ ร่วมเดินทางไปในคณะสำรวจครั้งนี้ด้วย 2 คน คริสเชื่อว่าบริเวณกำแพงแห่งนี้  น่าจะเป็นที่ตั้งสุสานของฟาโรห์ หรือสุสานของเชื้อพระวงศ์องค์ใดองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์ไอยคุปต์ก็เป็นได้  

การขุดค้นได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  และวันหนึ่งพวกเขาก็ขุดพบโพรงขนาดใหญ่พอสมควรซ่อนตัวอยู่ใต้ซากกำแพงแห่งนี้ ในครั้งแรกพวกเขาดูไม่ค่อยสนใจกับมันซักเท่าไหร่ แต่พอยิ่งขุดลึกเข้าไป พวกเขาก็เจอเข้ากับซากของปล่องไฟเล็กๆ  ซึ่งเห็นได้ชัดว่า  มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับใช้ในสุสานอย่างแน่นอนคณะสำรวจยังคงก้มหน้าก้มตาขุดค้นบริเวณโดยรอบต่อไป  และในที่สุด 
 
 พวกเขาก็เจอกำแพงทึบซึ่งมีประตูกั้นอยู่  จึงช่วยกันพังประตูบานนั้นเข้าไป ทำให้เศษอิฐ เศษหินพังทะลายเข้าไปทับถมอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก  แต่ก็ยังพอมองเห็นทางเดินขนาดกว้างพอประมาณ  ที่ทอดยาวไปสู้ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง 
 
ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้สำหรับพิธีการทำศพ  บริเวณกลางห้องมีแท่นขนาดใหญ่ทำด้วยเงินตั้งอยู่  ซึ่งมีหีบบรรจุเครื่องนุ่งห่มของกษัตริย์วางซ้อนอยู่ข้างบนด้วย แม้ว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นจะเปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา แต่มันก็ยังมีคุณค่าในสายตาของนักสำรวจทุกคน นอกจากนี้พวกเขายังพบหีบขนาดเล็กที่ทำด้วยเงิน  รูปสลักของเทพเจ้า  เครื่องเงิน  เครื่องทอง  และสิ่งของประดับอันมีค่าเป็นจำนวนมาก

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ของทางการอียิปต์  ได้ทำการจดบันทึกการค้นพบในครั้งนี้ไว้เป็นหลักฐาน  เพื่อทำรายงานต่อไป ไม่มีใครได้ทันสังเกตว่า คริสได้แอบหยิบกำไลเงินอันหนึ่งติดมือมาด้วย เพราะเขารู้สึกว่า  มันน่าจะเป็นของที่ระลึก  สำหรับการเดินทางมาค้นหาปริศนาอันเร้นลับของดินแดนไอยคุปต์  ที่เขาจะนำไปอวดคนที่รู้จักได้เป็นอย่างดี


หลังจากนั้นคณะสำรวจทั้งหมดก็เดินทางกลับ   ขณะที่คริสก็รีบตีตั๋วเครื่องบินกลับประเทศอังกฤษทันที  พร้อมกับตั้งใจจะนำกำไลเงินที่แอบหยิบติดมือมาได้ ไปอวดแดนนี่  เพื่อนสนิทของเขา แต่เมื่อเดินทางมาถึงอังกฤษ ซึ่งตรงกับช่วงเวลากลางคืนพอดี  คริสจึงต้องตรงกลับบ้านก่อน  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโทรไปบอกแดนนี่ไว้ก่อนว่า  วันรุ่งขึ้นเขามีสิ่งของบางอย่างจะนำไปอวด


ระหว่างที่คริสกำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนนั้น  เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังรื้อค้นห้องนอนของเขาอยู่  คริสจึงเปิดประตูออกมาดู  แต่ก็ไม่เห็นใคร  หลังจากอาบน้ำเสร็จ  คริสก็รื้อเสื้อผ้าออกมาจัดเข้าตู้ให้เรียบร้อย  แล้วก็หยิบกระเป๋าใบเล็กซึ่งใส่กำไลเงินออกมาดู  แต่เมื่อเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากลับไม่พบกำไลอยู่ในนั้น คริสเริ่มสงสัยว่า กำไลมันหายไปได้อย่างไรกัน เขาลองค้นหาจนทั่วก็ไม่เจอ จึงพยายามทบทวนความทรงจำว่า  ได้เก็บกำไลไว้ที่ไหนกันแน่  แต่เขาก็มั่นใจว่า  ได้ใส่มันลงกระเป๋าใบเล็กเองกับมือ รุ่งเช้า  แดนนี่โทรมาหาคริสเพื่อทวงถามถึงสิ่งของ  ที่คริสสัญญาว่าจะนำไปให้ดู  ซึ่งคริสต้องบอกความจริงกับเพื่อนไปว่า  เขาได้นำกำไลซึ่งเป็นสมบัติของชาวไอยคุปต์ติดมือกลับมาด้วย  แต่ว่าตอนนี้มันได้อันตรธานหายไปแล้ว  แดนนี่จึงรีบตรงมาหาคริสที่บ้าน  และช่วยกันค้นหากำไลอันนั้นอีกครั้ง 

ในระหว่างที่ทั้งสอง  กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นสิ่งของภายในห้องนอน  แดนนี่ก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง  เขาจึงหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาเปิดดูข้างใน  แล้วก็พบกำไลเงินอันหนึ่งอยู่ในนั้น เขาจึงหันไปถามคริสเพื่อความแน่ใจว่า ใช่กำไลอันที่คริสพูดถึงรึเปล่า พอคริสเห็นกำไลอันนั้นอยู่ในกระเป๋า  เขาก็ถึงกับยืนตาค้าง  เพราะแน่ใจว่า เขาได้ค้นดูในกระเป๋าใบนั้นทุกซอกทุกมุมแล้ว  ไม่มีทางที่กำไลอันใหญ่จะเล็ดรอดสายตาของเขาไปได้  แล้วมันกลับมาอยู่ในกระเป๋าได้อย่างไรกัน

คริสเริ่มเอะใจขึ้นมาว่า  จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล  เกี่ยวกับกำไลอันนี้อย่างแน่นอน  เขาเริ่มนึกถึงอาถรรพ์คำสาปอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไอยคุปต์ขึ้นมาทันที ด้วยความกลัวคริสจึงบอกกับแดนนี่ว่า เขาจะนำกำไลกลับไปคืนไว้ที่เก่า  แต่ยังไม่ทันที่คริสจะได้ทำเช่นนั้น  คืนวันเดียวกันนั่นเอง  ขณะที่เขากำลังนอนหลับอยู่ในห้อง  จู่ๆเตียงของเขาก็สั่นไปมาอย่างแรง  ทำให้ร่างของคริสกระเด็นลงมากองอยู่กับพื้น

คริสลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นร่างของชายคนหนึ่ง  แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับอันมีค่าคล้ายกับคนสมัยโบราณ  กำลังมองมาที่เขา จากนั้นชายคนดังกล่าว ก็เอื้อมมือมาจับคอของคริสไว้  และค่อยๆยกร่างของเขาขึ้นสูงจากพื้นทีละนิด ทีละนิด  จนเกือบชิดเพดานห้อง 

 ขณะที่คริสเริ่มตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว  และพยายามร้องขอชีวิต  แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้น จะฟังที่คริสพูดไม่เข้าใจ    เขายังคงเหวี่ยงร่างของคริสหมุนไปทั่วห้องด้วยความเมามัน      จากนั้นก็ปล่อยให้ร่างของคริส กระเด็นไปกระแทกกับผนังห้องอย่างแรง  ส่งผลให้เขาถึงกับสลบเหมือดไปทันทีที่คริสรู้สึกตัวขึ้นมา หลังจากที่เพื่อนบ้านมาเห็นเหตุการณ์เข้า และรีบพาตัวเขาส่งโรงพยาบาล  คริสก็พบว่าอาการของตัวเองอยู่ในขั้นโคม่าเสียแล้ว ในขณะนั้นเขารู้สึกว่า ความเจ็บปวดมันกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา แม้แพทย์จะฉีดยาเพื่อบรรเทาอาการปวดให้  แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ทุเลาเบาบางลงเลย  คริสเริ่มรับรู้ถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตขึ้นมาในทันที 

อย่างไรก็ตาม  คริสยังพยายามติดต่อกับแดนนี่  เพื่อขอร้องให้แดนนี่นำกำไลอันที่เขาขโมยมา ไปคืนยังที่เดิม เพราะคริสแน่ใจว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองทั้งหมด ต้องเกิดจากอาถรรพ์คำสาปอันน่าสะพรึงกลัวแห่งดินแดนไอยคุปต์อย่างแน่นอน แม้ว่าการนำกำไลอันนั้นไปคืนยังเจ้าของ จะไม่ได้ช่วยยื้อชีวิตของเขาขึ้นมาจากความตายได้  แต่คริสก็รู้สึกว่ามันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว  เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครต้องมารับเคราะห์  จากอำนาจอันลี้ลับแห่งไอยคุปต์  เช่นเดียวกับเขาอีกต่อไป


อึ้ง แฉ"แจ็ค เดอะ ริปเปอร์"ที่แท้อาจเป็นผู้หญิง ก่อคดีโฉดเพราะ"แรงแค้นมีลูกไม่ได้"



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หนังสือเล่มใหม่ชื่อ "แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ในมือผู้หญิง" ซึ่งเขียนโดยนายจอห์น มอร์ริส นักเขียนวัย 62 ปี ได้อ้างว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรแห่งไวท์ แชปเปิล แท้จริงเป็นหญิงชื่อว่า "ลิซซี่ วิลเลี่ยม" ซึ่งเป็นภรรยาของเซอร์จอห์น วิลเลี่ยม ที่ถูกนักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าเป็นแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยเธอได้ก่อเหตุโหดฆาตกรรมเหยื่อซึ่งส่วนใหญ่เป็นโสเภณีหลายศพ เพราะแรงแค้นที่ตัวเองไม่สามารถมีลูกได้ โดยเธอได้ผ่ามดลูกของเหยื่อสามรายทิ้ง


ลิซซี่ วิลเลี่ยม

นอกจากนี้ เขายังอ้างหลักฐานว่า ในบรรดาเหยื่อของฆาตกรแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ นั้น ไม่ปรากฎว่ามีรายใดเลยที่ถูกข่มขืนหรือทำร้ายทางเพศ และว่าที่ผ่านมา นักประวัติศาสตร์ต่างไม่ยอมมองว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นผู้หญิง แม้ว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้สูง เพราะนักประวัติศาสตร์ฝังหัวว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ต้องเป็นผู้ชาย และทำให้หลักฐานที่มุ่งไปสู่คนร้ายหญิงถูกเพิกเฉย

หนังสือเล่มนี้ระบุว่า ลิซซี่ ซึ่งเกิดวันที่ 7 ก.พ. 1850 ไม่สามารถจะมีลูกได้ และในภาวะเสียสติ เธอได้แก้แค้นต่อผู้หญิงที่สามารถมีลูกได้ พร้อมทั้งยกคำอ้างของการชันสูตรศพของเหยื่อหญิงรายหนึ่งว่า การสรุปว่า แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ต้องการครอบครองอวัยวะที่หายไปของเหยื่อเป็นเรื่องเกินจริง



เซอร์จอห์น วิลเลี่ยม
นอกจากนี้ เขายังชี้ว่า มีการพบรองเท้าผู้หญิงใกล้ศพของเหยื่อคนหนึ่ง คือ แคทเธอลีน เอ็ดโดวส์  และมีการพบเสื้อผ้า กางเกง และหมวก ถูกพบในบริเวณสถานที่เผาศพของแมรี่ เคลลี่ หนึ่งในเหยื่อของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วย และว่า มีสาเหตุที่ว่า เพราะเหตุใด นางเคลลี่จึงกลายเป็นเหยื่อรายสุด เพราะเซอร์จอห์น ซึ่งประกอบอาชีพเป็นแพทย์ ได้เปิดคลีนิกทำแท้งในย่านไวท์แชปเปิล มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับนางเคลลี่ อย่างไรก็ตาม ต่อมา นางลิซซี่มีอาการเสียสติ ต้องเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งเมื่อปี 1912 และเธอไม่เคยถูกตำรวจสอบสวนเลย

ทั้งนี้ แจ็ค เดอะ ริปเปอร์ ได้สังหารเหยื่อ 5 ราย ซึ่งล้วนเป็นโสเภณีในย่านอีสต์ เอนด์ ของกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นย่านชุมชนชั้นต่ำ ตลอดช่วง 5 สัปดาห์ ในปี 1888 โดยเหยื่อทั้งหมดได้แก่ แมรี่ แอนน์ นิโคลส์,แอนนี่ แชปแมน,อลิซาเบธ สไตรด์,แคทเธอรีน เอ็ดโดวส์ และแมรี่ เจน เคลลี่


เครดิต คลิ๊ก

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แมวเทพเจ้า vs มัมมี่แมว

จากที่เคยกล่าวมาแล้วในบทความที่โพสต์ก่อนหน้านี้ว่า แมวเป็นสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กับค่านิยม คติ ตำนานความเชื่อ และประเพณีต่างๆที่อยู่ในวัฒนธรรมของคนในแต่ละชนชาติ ซึ่งในบางชนชาติก็จะมีความเชื่อที่ว่า แมวเป็นสัตว์มงคล และบ้างก็เชื่อว่า แมวเป็นสัตว์อัปมงคล
     วันนี้ วิฬารีจึงขอนำเสนอบทความชุดใหม่ที่เกี่ยวกับแมวในแง่มุมที่มองว่า แมวเป็นสัตว์มงคล แง่มุมด้านบวกที่เกี่ยวกับแมว ซึ่งต่อไปนี้จะขอเรียกว่า มุมสว่างในความเชื่อที่เกี่ยวกับแมว โดยขอประเดิมที่ชนชาติอียิปต์ซึ่งถือว่าเป็นชนชาติแรกที่เลี้ยงแมวมาแต่ยุคโบราณ ชาวอียิปต์เชื่อว่า แมวเป็นเทพเจ้าของพวกเขา
     เหตุผลหลักๆ ที่ชนชาติอียิปต์เคารพนับถือแมวเป็นเทพเจ้านั้น มาจากการที่แมวมีบุญคุณกับชาวอียิปต์ เพราะเมื่อชาวอียิปต์นำแมวมาเลี้ยงไว้ในบ้านและถูกฝึกเลี้ยงจนเชื่อง แมวช่วยจับหนูภายในบ้าน และเมื่อเข้าสู่ยุคเกษตรกรรม ผู้คนได้เก็บรักษา ผลิตผลทางการเกษตร เช่น ข้าว ธัญพืชต่าง ๆไว้ในยุ้งฉาง ผลิตผลเหล่านี้ป็นสิ่งดึงดูดสำหรับหนู ซึ่งได้แพร่กระจายเป็นจำนวนมาก ชาวอียิปต์จึงเกิดความคิดที่จะฝึกแมว ซึ่งมีสัญชาตญาณในความเป็นสัตว์ป่ามาปราบหนู ซึ่งแมวก็สามารถทำหน้าที่ในการกำจัดหนูได้เป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับ นอกจากจะทำให้ผลิตผลและพืชพันธุ์ได้รับความเสียหายน้อยลงแล้ว แมวยังช่วยควบคุมหนูซึ่งเป็นศัตรูพืชและเป็นพาหะนำกาฬโรค(เป็นโรคระบาดที่น่ากลัวในสมัยโบราณ
      เมื่อชาวอียิปต์โบราณเลี้ยงแมว ก็ช่วยให้พวกเขามีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์และมีพลเมืองมากพอ เพราะไม่เจ็บป่วยด้วยกาฬโรคเหมือนประเทศอื่นๆ อียิปต์จึงมีความเจริญ สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลเป็นเวลาหลายพันปี กลายเป็นแหล่งอารยธรรมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก จากมูลเหตุดังกล่าว ทำให้แมวได้รับการเคารพนับถือว่า เป็นสัตว์แห่งเทพเจ้า(เทพีบาสเต็ต)  เพราะชาวอียิปต์มีความเชื่อว่า แมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือว่าเป็นเทพเจ้า หรือเรียกว่า Bastet (เทพีบาสเต็ต/เทพธิดาแมว) อันมีความหมายว่า นางแห่งบาสต์(Bast) ทั้งนี้ Bast เป็นชื่อนครอันเป็นที่ประดิษฐานของเทวาลัยของแมวทั้งหลาย
      เทพีบาสเต็ตเป็นเทพเจ้าผู้ประทานความรักและความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าของแมวทั้งหลาย ซึ่งมักจะปรากฏรูปร่างดังนี้ คือ เป็นเทพที่มีศรีษะเป็นแมว ส่วนรูปร่างหน้าตานั้นจะแตกตางกันออกไป บ้างปรากฏร่างเป็นสตรี แต่มี    ศรีษะเป็นแมว หรือบางครั้งก็เป็นแมวทั้งตัว  เทพีบาสเต็ตเป็นหนึ่งในลูกสาวของเทพเจ้ารา(Ra) นอกจากนี้ พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งแสงสว่าง ความร้อนและพลังแสงอาทิตย์

                           

          
        
นี่คือ โฉมหน้าของเทพีบาสเต็ต  ซึ่งมีลักษณะส่วนศรีษะเป็นแมว ในร่างของสตรี

      

ส่วนสองรูปนี้ เป็นเทพีบาสเต็ตที่มีรูปร่างเป็นแมวทั้งตัว   
     ในสมัยอียิปต์โบราณนั้น หากบ้านหนึ่งๆมีแมวตาย สมาชิกทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น จะต้องไว้ทุกข์ด้วยการโกนคิ้วของตัวเองออก และนำซากของแมวไปทำมัมมี่เพื่อเก็บรักษาไว้ กล่าวคือ ซากแมวจะถูกพันห่อด้วยวัสดุหลากสี และจะมีหน้ากากที่แกะจากไม้ครอบหน้าของแมวเอาไว้ แต่บางทีก็ถูกห่อหุ้มด้วยเส้นฟางสาน แล้วนำไปฝังในสุสานใกล้โบสถ์ Bast ณ เมืองบูบาสติส ซึ่งสุสานแห่งนี้ นักโบราณคดีเคยค้นพบมัมมี่แมวมากกว่า 300,000 ตัว

     ในทุก ๆ ฤดูใบไม้ผลิ จะมีผู้คนนับครึ่งล้านต่างมุ่งหน้าไปชุมนุมเพื่อร่วมพิธีบูชาแมว หรือที่เรียกว่า พิธี Bastet ซึ่งในแต่ละครั้งจะมีมัมมี่แมวนับ 100,000 ตัว ถูกฝังเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพีบาสเต็ต ผู้เป็นเทพแห่งแมว โดยชาวเมืองจะนำเนื้อสัตว์ น้ำผึ้งและผลไม้ มีสาวงามที่ประดับดอกไม้บนศรีษะ ออกมาร้องเพลงร่ายรำถวายเทพเจ้า     พิธีดังกล่าวเป็นที่นิยมอยู่นับเป็นเวลานานถึง 2,000 ปีจนกระทั่งถูกห้ามอย่างเป็นทางการ ในปี ค.ศ. 390ซึ่งเป็นช่วงที่พิธีเสื่อมความนิยมลงไปมากแล้ว


ส่วนรูปนี้เป็นรูปมัมมี่แมว (เอามาฝากสำหรับแฟนๆแมวทั้งหลาย)
     จะเห็นได้ว่า ความเชื่อที่ชาวอียิปต์มีต่อแมวนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงเกียรติภูมิที่มนุษย์มีให้กับแมวในอารยธรรมโบราณอย่างอียิปต์  ทำให้แมวได้กลายเป็นหนึ่งในเทพเจ้าทั้งหลายของชนชาติอียิปต์ 
      
ป.ล. เป็นยังไงบ้างคะ ท่านผู้อ่านที่มีผองเพื่อนเป็นแมวทั้งหลาย แมวซึ่งสัตว์เลี้ยงของเราเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะคะ       


ที่มาคลิ๊ก

สุสานเทพเจ้า อาณาจักรโคมายานา ดินเเดนอารยธรรมสุดพิศวง ในตุรกี

ซากปรักหักพัง อาณาจักรโคมายานา บนหุบเขาเทพเจ้าบนยอดเขาเนมรุต ตุรกี โดยซากปรักหักพังดังกล่าว คือสุสานเทพเจ้าแห่งนี้สร้างโดยกษัตริย์ Antiochos I ซึ่งครองราชย์ช่วงปี 69-31 ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นเทพเจ้าที่เเสนพิศวง บ่งบอกถึงวัฒนธรรม ของดินเเดนเมโสโปเตเมียในอดีต ลองไปชมรูปภาพในเซ็ตนี้กันเลยครับ เผื่ออยากไปเที่ยวกัน

ที่มา: kapook.com

คัมภีร์ปีศาจ หนังสือโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Devil's Bible)

Codex Gigas หรือในภาษาอังกฤษ คือ หนังสือยักษ์ (Giant Book) เป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือโบราณในยุคกลางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 

มันถูกเขียนขึ้นมาในประมาณ คริสต์ศัตวรรษที่ 13 ใน ประเทศโบฮีเนีย (ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐเชค Czech Republic) และถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์ ในระหว่างสงครามสามสิบปี (Thirty Years' War) ในปี ค.ศ. 1648 สมบัติของสะสมต่าง ๆ ภายในโบสถ์ ถูกปล้นไปโดยกองทัพของทหารสวีเดน

ปัจจุบัน Codex Gigas ถูกเก็บรักษาอยู่ที่ หอสมุดนานาชาติ ประเทศสวีเดน ในเมืองสต๊อกโฮม (National Library of Sweden in Stockholm) 

แต่ Codex Gigas ถูกรู้จักกันในชื่อ คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ เพราะว่า......ทำไม Codex Gigas จึงถูกเรียกว่า คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ 
Why...

ยังคงเป็นปริศนาของผู้เขียน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้ แต่ตำนานนั้นกล่าวว่าบันทึกเล่มนี้เขียนโดย นักบวชนอกรีตที่ขายวิญญาณให้แก่ซาตาน และใช้เวลาเขียนเพียง หนึ่งคืน เท่านั้น (อ่านตำนาน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ) แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกียวกับบันทึกเล่มนี้ไม่เชื่อ และคาดการณ์ว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจเล่มนี้ใช้เวลาเขียนไม่ต่ำกว่า 20 ปี 
-   คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เป็น คัมภีร์ไบเบิ้ลเพียงเล่มเดียวที่บรรจุไว้ ทั้งคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า และใหม่ รวมกัน
-   ภายในยังประกอบได้ด้วยรูปภาพเกี่ยวกับ ซาตาน (satanic) ซึ่ง ทำให้มันเป็น คัมภีร์ไบเบิ้ล เพียงเล่มเดียวที่มีรูป ปีศาจ หรือ ซาตาน ภายในเล่ม
-   ภายในประกอบไปด้วย มนต์ดำ แห่ง ปีศาจ (demonic spells)
-   ภายในประกอบไปด้วย มนต์ คาถา เพื่อการรักษา
-   ลักษณะลายมือที่เขียนอย่างสวยงาม มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนต้นฉบับหนังสือใด ด้วยหมึกสีดำ แดง น้ำเงิน เหลือง เขียว และสีทอง ขึ้นต้นตัวอักษรด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ และสวยงาม
-   ด้วยต้นกำเนิด และปริศนาต่าง ๆ นี้จึงทำให้ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจนี้ถูกจัดอันดับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อันดับที่ 8 และเป็นหนึ่งในหนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลกเล่มหนึ่ง
 

และรูปซาตานขนาดความสูง 50 เซ็นติเมตร นี้เป็นที่มาของ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้

ลักษณะ คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ 
-   คัมภีร์ไบเบิ้ล ของ ปีศาจ ถูกเก็บรักษาอยู่ในหีบไม้
-   ปกเป็นหนังสัตว์ ประดับด้วยเครื่องประดับโลหะ
-  ตัวคัมภีร์ไบเบิ้ล ปีศาจ มีขนาด 92 x 50 x 22 เซ็นติเมตร  สูง x กว้าง x หนา ตามลำดับ) หนัก 75 กิโลกรัม
-   เนื้อหาภายในบันทึกโดยลายมือ บนหนังลูกวัว หนังลา รวมกว่า 160 ตัว
-   ช่วงแรกคาดว่าภายในเล่มประกอบไปด้วย เนื้อหา 320 แผ่น
-   ปัจจุบัน ปรากฏร่างรอยการฉีกบันทึกออกไป 8 แผ่น (อ่านตำนาน คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจว่า 8 แผ่นนี้คืออะไร ) และยังคงเป็น ปริศนา อยู่ถึงทุกวันนี้ว่า ใครเป็นผู้ฉีกเนื้อหาส่วนที่ขาดหายไปนั้น และจุดประสงค์ในการทำลายบันทึกนี้เพื่ออะไร
-   ภายในเล่ม ไม่ปรากฎ ชื่อ ลายเซ็นต์ อะไรที่เป็นร่องรอยในการสืบค้นทั้งสิ้น

ตำนานการอุบัติ ของ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ 

ย้อนกลับไปนานเท่านาน นักบวชผู้ถูกจองจำอยู่ในคุกที่ลึกและมือมิด จากความผิดอย่างใหญ่หลวงของเขาที่ได้กระทำ ทางรอดเพียงหนทางเดียวที่จะได้รับการไถ่โทษนี้ ก็คือ จะต้องทำการเขียนหนังสือที่เป็นการยกย่องทางคริสต์ศาสนา และรวบรวมไว้ด้วยภูมิรู้ทั้งปวงของมวลมนุษญ์ชาติ (ความหมายก็คือให้เขียน คัมภีร์ไบเบิ้ล) ให้เสร็จภายใน 1 คืน เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก จนถึงเวลาเที่ยงคืน นักบวชยังเขียนหนังสือได้ไม่คลืบหน้า เขาจึงเริ่มสวดภาวนา วิงวอน แต่คำวิงวอนนั้นไปไม่ถึงพระผู้เป็นเจ้า แต่มันกับตกลงไปสู่ห้วงอเวจีที่มืดมิด และซาตานก็ตอบรับคำวิงวอนของ นักบวชผู้นั้น โดยการช่วยเหลือจากซาตาน ให้เขาสามารถเขียน Codex Gigas หรือ คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 คืน และนักบวช จึงได้เขียนรูป ซาตาน ตนนั้นที่ให้ความช่วยเหลือเขาลงในคัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ เล่มนี้เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือเขา ในหน้าที่ 290 ตามตำนานยังเล่าว่า นักบวชเป็นผู้ฉีก ออกไป 8 แผ่น เนื่องจากบทดังกล่าวเป็น คาถา และวิธีกรรมในการไล่ภูต ผี ปีศาจ 
ที่มาคลิ๊ก

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย


มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ “ตาย” หมายถึงสภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะ บ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ

1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติร่างกายอ่อนนิ่มสีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจบางคนจะกรีดร้องเสียคล้ายสัตว์คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์

4. ชนิดสังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทางเมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้จะเกิด เป็นสัตว์ 4 ประเภท
- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตายดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตายหูจะชันขึ้นจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนันชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมากวิญญาณ จึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสีด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอดจะเกิดเป็นสัตว์น้ำไปอยู่กับรสชาติที่โสโครก และสกปรก
เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?
     ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรกจะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อ ตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว

     ในขณะที่มีชีวิตอยู่วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่อง ทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี

     โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์หรือเรียกว่า “อนันตริยกรรม” มีอยู่ 5 อย่าง คือ


1.ฆ่าพ่อ
2.ฆ่าแม่
3.ฆ่าพระอรหันต์
4.ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก
5.ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลือด


มาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

     หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ใน ระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

    ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่างชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

    เจ็ดวันรอบแรก วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึงก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัวกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา


    ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี 49 วันหลังความตาย เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวะทูต คอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

     เจ็ดวันรอบที่สอง เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่านเมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานีและยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้ เวลานั้น ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดีเมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

    เจ็ดวันรอบที่สาม เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรมยามมีชีวิตทำชั่วอะไรภาพก็จะ ปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติเสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ

    ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิดตอนนี้ แต่ก็สายเสียแล้ว ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงจะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆและพาไปดู สภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

    เจ็ดวันรอบที่สี่ เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทองการจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงาย เผาส่งไปให้ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

    เจ็ดวันรอบที่ห้า วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลานคนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีกได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

    เจ็ดวันรอบที่หก เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชียมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญ ที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิตหลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะ ให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

   เจ็ดวันรอบที่เจ็ด เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่าผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกินเจละเว้นจากการฆ่า สัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว 

     ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้นเร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งลวงโลกตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฎแห่ง กรรมนั้นเป็นเรื่องจริงขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ที่มาคลิ๊ก

อาถรรพ์เจ้าหญิงอาเมน-รา แห่งอียิปต์



ทุกคนคงจำเหตุการณ์เรือไททานิกล่มได้ดี แต่เชื่อหรือไม่ มีคำกล่าวยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นคือหนึ่งในอาถรรพ์ของเจ้าหญิงอาเมน-รา มีผู้เล่าว่ามัมมี่ของเจ้าหญิงถูกขนย้ายขึ้นเรืออย่างลับๆ และเก็บไว้ที่สะพานเรือ เพื่อส่งไปให้นักโบราณคดีที่สหรัฐ สุดท้ายเรือยักษ์ก็พบจุดจบ และไม่มีใครพบมัมมี่ของพระนางอีกเลย

ตามตำนานความหายนะของเรือไททานิค เป็นเรื่องของ มัมมี่โชคร้าย ที่ถูกลำเลียงโดยนำลงบนเรือลำที่ว่ากันว่าไม่มีทางที่จะล่มหรือจม ได้เลย แต่แล้ว กลับล่มลงจนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่

เรื่องราวที่นำมาเล่า เป็นเรื่องของความโชคร้ายของผู้ที่ได้ครองมัมมี่ตัวนี้ ย้อนอดีตไปเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล หลังจาก "เจ้าหญิง อาเมน-รา" สิ้นพระชนม์ มีการบรรจุพระศพของพระองค์ในโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝังในสุสาน Luxor

ในเวลาต่อมาราวๆปี พ.ศ.2433 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปสำรวจที่ Luxor และได้รับการชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง ไม่ต้องบอก ทุกท่านก็คงจะเดาออกนะคะ ว่าเป็น หีบมัมมี่ของใคร หุหุ เมื่อทั้ง 4 เห็น แล้วก็เกิดความละโมบ อยากได้ จนต้องมีการจับฉลากกันค่ะ ชายคนที่จับฉลากชนะก็ได้ไปพร้อมกับจ่ายเงินไปนับพันๆปอนด์

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ก้มีคนเห็นชายคนนั้นแหละค่ะ เดินตรงไปยังทะเลทราย แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย วันต่อมา ชาย 1 ใน 3 คนทีเหลือก็ถูกคนรับใช้ชาวอียิปตืยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนสุดท้ายแล้วค่ะ ได้เกิดเจ็บป่วยเป้นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน

อย่างไรก้ตาม โลงศพก็ได้เดินทางมาถึงอังกฤษโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน แต่ก็ไม่พ้นเคราะห์ร้ายอยู่ดีค่ะ เจอมาตลอดทาง แถมครอบครัวยังบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทางถนน และไฟไหม้อีกด้วย เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงก้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกค่ะ ((สงสารคนที่ไม่รู้นะคะ)) ก็รถบรรทุกที่บรรทุกมัมมี่สิคะ ดันถอยหลังไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น นอกจากนี้นะคะ คนงาน2คนที่ยกโลงขึ้นบันได ตกลงมาขาหักคนนึง อีกคน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

ทีนี้พอวางโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราไว้ในห้องสไตล์อียิปต์แล้ว ก็มีปัญหาตามมาอีกค่ะ เฮ้อออออ ก็จะอะไรซะอีกล่ะคะ ยามที่เฝ้าน่ะค่ะ จะได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลยค่ะ

ยังมีอีกนะคะ ไม่จบเพียงเท่านี้นะคะ ยังมีอีกค่ะ คือ มีผู้ชมคนหนึ่งลบหลู่เจ้าหญิงโดยการใช้ผ้าปัดฝุ่นใบหน้าบนโลงศพ ลูกของเขาก็ตายด้วยโรคหัดในไม่ช้าเลยค่ะ พอเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดี เยอะมาก เจ้าหน้าที่เลยย้ายลงมาที่ห้องใต้ดินค่ะ เผื่อจะได้ไม่มีใครเป็นอะไรอีก แต่พวกเค้ากลับคิดผิดน่ะสิคะ เพราะภายใน 1 อาทิตย์ต่อมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายก้ตายอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทราบเรื่องช่างภาพคนหนึ่งได้ถ่ายรูปโลงศพ แต่พอล้างฟิล์มออกมากลับกลายเป้นใบหน้าที่น่ากลัวน่าสยดสยอง ช่างภาพเลยกลับบ้าน ล็อคห้อง และยิงตัวตาย ว๊ายยยยย ต้องล่ะเหนื่อย เล่าถึงตรงนี้ สยองจังค่ะ เหอๆๆ มาๆๆเรามาเล่าต่อกันดีกว่าค่ะ

ในที่สุด หลังจากนั้นไม่นาน พิพิธภัณฑ์ก็ได้ขายมัมมี่ให้นักสะสม ซึ่งเจ้าของก็ได้รับภัยพิบัติเช่นกันค่ะ เขาจึงเนรเทศไปอยู่บนห้องเพดาน แต่ในที่สุดก็มี นักโบราณคดีชาวอเมริกันก็ได้ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอ
ร์ค ในเดือนเมษายน พ.ศ.2454 ดดยได้ลำเลียงทรัพย์สมบัติขึ้นบนเรือสีขาวลำใหม่ ซึ่งเป็นสายการเดินเรือลำแรกที่เดินทางไปนิวยอร์ค นั่นก็คือ "เรือไททานิค" นั่นเองค่ะ และแล้ว "เจ้าหญิงอาเมน-รา" พร้อมด้วยผู้โดยสารนับพันๆคน ได้ดำดิ่งลงสู่ความตาย ณ ทะเลแอตแลนติกนั่นเอง

IPB Image

ที่มาคลิ๊ก

10 อันดับถนนหลอน !

ในตอนกลางคืนที่เงียบเหงา คุณอาจจะขับรถไปผิดทาง (หรือว่าถูก ?) ซึ่งบางครั้งมันก็พาคุณไปพบกับบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่คาดคิด ถนน 10 สายต่อไปนี้ จากคำบอกเล่าต่างๆ แล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นมากกว่าเส้นทางที่ใช้ขนส่งสินค้านะ
10. A75 Kinmont Straight – South West Scotland
เป็นเวลามากกว่า 50 ปีแล้วที่ถนนเส้นนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของความหลอน บันทึกเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทีเกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้นเพียงพอสำหรับฉายาของถนนเส้นนี้ โดยถนนเส้นนี้ได้รับฉายาว่า โกส์โรด (Ghost Road) ว่ากันว่าเป็นถนนสายที่หลอนที่สุดในสก็อตแลนด์และมีบันทึกเกี่ยวกับการพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดหลายร้อยเหตุการณ์ ตัวอย่างเช่น ในปี 1957 คนขับรถบรรทุกคนหนึ่งขับรถชนคนคู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาลงมาดูคนเจ็บกลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว
9. Kelly Road – Ohioville, Pennsylvania
ช่วงหนึ่งของถนนเคลลี่ (Kelly Road) ที่มีความยาวเพียง 1 ไมล์ ในเมืองโอไฮโอวิลล์, เพนซิลวาเนีย เป็นพื้นที่ที่มีบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมาย รายงานดังกล่าวมักกล่าวว่า เมื่อสัตว์ผ่านเข้าไปในช่วงถนนดังกล่าวจะมีท่าทีปลี่ยนไป คือ จากที่ดูเป็นมิตรกลับแสดงอาการก้าวร้าว (เหมือนเรื่อง Cujo: วรรณกรรมสยองขวัญที่เขียนโดย สตีเฟ่น คิง (Stephen King) โดยหนังสือเล่มนี้ชนะเลิศรางวัล British Fantasy Award ในปี 1982 และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 1983) รวมถึงวิ่งไล่สัตว์ประเภทอื่นและคน รอบข้างถนนเส้นนี้ปกคลุมได้ด้วยความมืด หนาแน่นไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างทางและไม้เลื้อยประเภทต่างๆ ทำให้พบเห็นหรือได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ไปต่างๆ นานา ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใดถนนในช่วงสั้นๆ นี้ถึงมักเกิดเหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว แต่มีหลายทฤษฎีกล่าวว่าน่าจะเป็นผลมาจากกิจกรรมทางศาสนาบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่แถบนี้และคำสาปก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วยเหตุผลบางประการ
8. Dead Man’s Curve – Clermont County, Ohio
โค้งคนตาย (Dead man’s curve) เป็นโค้งที่มีอันตรายมากในเขต เชอร์มอนท์ เคาน์ตี้ ถนนเส้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนน โอไฮโอ้ เทิร์นไพค์ (Ohio Turnpike; Turnpike: ถนนสำหรับรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง (โดยเฉพาะถนนที่มีด่านเก็บเงิน)) สร้างขึ้นในปี 1831 และมีรายชื่อของเหยื่อยาวเหยียดเลยทีเดียว – วันที่ 19 ตุลาคม 1969 วัยรุ่นห้าคนต้องจบชีวิตลงเมื่อรถอิมพาลา ปี 1968 (1968 Impala) ถูกชนที่ความเร็วมากกว่าร้อยไมล์ต่อชั่วโมงโดยรถรุ่นโรดรันเนอร์ ปี 1969 (1969 Roadrunner) เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว คือ ริค (Rick) หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ที่สี่แยกจะมีคนพบกับ "นักโบกรถไร้หน้า" (The Faceless Hitchhikers) ซึ่งริคเคยเห็นมาแล้วถึงห้าครั้ง
ในครั้งที่สามนั้น เพื่อนของริคที่ชื่อ ทอดด์ เล่าว่า "ริคและผมกำลังเดินทางกลับบ้าน โดยเดินทางจากบีเธล (Bethel) ไปยังอเมเลีย (Amelia) แล้วผมก็สังเกตเห็นบางอย่างรูปร่างคล้ายคนยืนอยู่ที่ข้างทาง ทำท่าทางเหมือนกำลังโบกรถ บางสิ่งบางอย่างนั้นใส่กางเกงสีอ่อน เสื้อเชิตสีน้ำเงิน ผมยาวและไม่มีหน้า เมื่อพวกเราหันหลังกลับไปมอง ก็ไม่มีเห็นอะไรเลย นอกจากนี้ผมยังเห็นเงาสีดำค่อยๆ เดินช้าๆ อยู่ข้างทาง"
7. Boone County – Illinois
ที่เมืองเบลวิเดียร์ (Belvidere) ในเขต บูน เคาน์ตี้ (Boone County), อิลลินอยซ์ นั้นจะมีแยกๆ หนึ่ง ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความหลอน โดยเฉพาะแยกที่อยู่บนถนนบลัดส์พอนท์ (Bloodspoint Road) ส่วนถนนเส้นอื่นที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลอนก็เช่น ถนนวีลเลอร์ (Wheeler), ฟลอร่า เชิร์ซ (Flora Church), เพิร์ล พูล (Pearl Poole), สวีนนี (Sweeney), เชอร์รี่ วัลเลย์ (Cherry Valley), สโตน ควอรี (Stone Quarry), แฟร์เดล (Fairdale) และไอรีน (Irene) เชื่อกันว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ เป็นผลมาจากอุบัติเหตุจากการจราจรที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
  
6.Stocksbridge By-Pass – England
ถนนรอบเมือง (By-Pass) สต็อคบริดจ์ (Stocksbridge) เป็นส่วนหนึ่งของทางด่วน (Moterway) หมายเลข M67 ในประเทศอังกฤษ เมื่อก่อนถนนเส้นนี้มีสองทางวิ่ง แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงทางวิ่งเดียว ถนนสร้างเสร็จในปี 1989 อยู่ทางตอนเหนือรอบตัวเมืองสต็อคบริดจ์และหุบเขา ถนนเส้นนี้ก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมายเช่นกัน เหตุการณ์ที่มักจะพบกันอยู่เสมอคือ เห็นเด็กหลายๆ คนกำลังเล่นกันอยู่ใต้สะพานในเวลากลางดึกและนักบวช (พระ) ที่ยืนมองรถผ่านไปมาข้างทาง แต่สุดท้ายแล้วก็หาคำอธิบายใดๆ ไม่ได้ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีได้ยินเสียงเด็กหลายคนร้องเพลงอยู่แถวๆ นั้นแหละ แต่พอมองหากลับไม่เจอใครเลย ส่วนรายงานที่ดูหลอนที่สุดคงเป็นเรื่องของคนที่กำลังขับรถอยู่ แล้วทันใดนั้นก็สังเกตเห็นนักบวชดังกล่าวมานั่งอยู่ข้างๆ เขานั่นแหละ !
5. M6 Motorway – England
ในประเทศอังกฤษ หลายๆ คนเห็นด้วยที่ว่า "ถนนที่ยาวที่สุดนั้น มักจะเป็นถนนที่หลอนที่สุดด้วย!" คนที่สัญจรไปมาบางคนเคยขับรถไปตามถนนเส้นนี้ แล้วก็พบกับประสบการณ์ที่แปลกประหลาด: ทหาร (นักรบ) โรมันกำลังเดินสวนสนาม ผู้หญิงพยายามโบกรถ – ถนนเส้นนี้มีความยาว 230 ไมล์ และมี 6 เลน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถนนเส้นนี้นั้นกว้างพอสำหรับขบวนสวนสนามที่แปลกประหลาด
4. Tuen Mun Road – Hong Kong
ถนนเส้นนี้ถูกใช้งานอย่างหนักและไม่ได้รับการออกแบบปรับปรุงให้เข้ากับลักษณะการจราจรสมัยใหม่ รวมถึงขึ้นชื่อในเรื่องของอุบัติเหตุจากการจราจรและเรื่องผี! หลายคนอ้างว่า บรรดาผีทั้งหลายมักจะปรากฏตัวขึ้นมาทันทีทันใดที่กลางถนน เป็นสาเหตุให้คนขับรถจำเป็นต้องหักหลบเพื่อหลีกเลี่ยงการชนและทำให้จำนวนผีที่เป็นเหยื่อของอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
3. Highway 666 – Utah, United States
ในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ ทางหลวงหมายเลข 191 (Highway 191) ถนนเส้นนี้เองก็ขึ้นชื่อในเรื่องของอุบัติเหตุเช่นกัน – ลินดา ดันนิ่ง (Linda Dunning) ได้เขียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับสามีของเธอไว้ในเว็บ Prairieghost.com ว่า:
"เขาขับรถมาคนเดียวและเมื่อมองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นมีรถซักคัน ทันใดนั้นเขาก็เห็นรถบรรทุกคันหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันกำลังลุกติดไฟ รถคันนั้นวิ่งอยู่ตรงหน้าเขาเลยทีเดียว รถคันดังกล่าววิ่งค่อนข้างเร็ว มีประกายไฟกระเด็นขึ้นมาจากล้อและเปลวไฟบริเวณท่อไอเสีย เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็รีบลงจากรถด้วยความกลัว แล้วถอยห่างออกไปร่วม 20 ฟุต จากรถของเขาและรอให้รถบรรทุกคันนั้นวิ่งผ่านไปก่อน เขาคิดว่ารถคันนั้นน่าจะวิ่งที่ความเร็วประมาณ 130 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อรถแล่นผ่านไปเขาก็กลับมาที่รถและขับรถต่อ"
ถ้าคุณเห็นเด็กผู้หญิงเดินไปตามถนน แล้วคุณพยายามจะช่วยเธอ เธอก็จะหายไปต่อหน้าต่อตา ถ้าคุณขับรถมาคนเดียว บรรดาผีทั้งหลายก็จะขึ้นนั่งเป็นผู้โดยสารที่เบาะหลังของรถคุณ ดันนิ่งได้ให้คำแนะนำไว้ว่า:
"พยายามหาเพื่อนไปกับคุณหลายๆ คนและพยายามอย่าเหลือที่ว่างไว้สำหรับผู้โดยสารที่คุณไม่อยากจะเจอ ซึ่งผู้โดยสารคนนี้อาจจะตัดสินใจปรากฏตัวขึ้นที่เบาะหลัง, พยายามนำรถเข้าจอดข้างทาง (Pull off the Road) ถ้าเห็นรถบรรทุกคันใหญ่วิ่งตรงเข้ามาหาคุณ, อย่าทำตัวอยากรู้อยากเห็นถ้าเห็นรถคันที่มีคนขับคนเดียวขับผ่านคุณไปในตอนกลางดึก, อย่ามองแสงที่สว่างอยู่บนท้องฟ้า, หวังว่าคุณคงจะไม่เจอเด็กผู้หญิงใส่ชุดสีขาว ห้ามหยุดรถเด็ดขาดไม่ว่าคุณจะสังเกตเห็นอะไรก็ตามและอย่ารับคนโบกรถขึ้นมาเด็ดขาด
2. A229 from Sussex to Kent – England
"ในเดือนพฤศจิกายนปี 1992 … เอียน ชาร์ป (Ian Sharpe) ขับรถไปตามถนนหมายเลย A229 จากซัสเซก (Sussex) ไปยังเคนท์ (Kent) ขณะขับรถอยู่นั้นก็มีเด็กผู้หญิงสวมชุดสีขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหน้ารถของเขาและหายไป ด้วยความตกใจเขาจึงหยุดรถและมั่นใจว่าเขาขับรถชนเธอเข้าให้แล้ว เมื่อเขาลงจากรถไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้น เขากลับไม่พบอะไรเลย ไม่มีเด็กผู้หญิง ไม่มีศพ ไม่มีชุดสีขาว แม้กระทั่งสัตว์ป่าซักตัวก็ไม่มี"
ถ้าคุณเป็นคนขี้กลัว อย่าได้คิดใช้ถนนเส้นนี้เลย … ถนนหมายเลข A229 เป็นถนนอีกเส้นหนึ่งที่ได้ขึ้นชื่อว่าหลอนที่สุดในอังกฤษ ตำรวจท้องถิ่นไม่ถือเป็นคนแปลกหน้าที่คอยเรียกผู้ใช้ถนนให้นำรถเข้าจอดข้างทาง แต่คนแปลกหน้าที่พูดถึงพิเศษกว่านั้นมาก นั่นคือ ผู้หญิงใส่ชุดสีขาว เพียงแต่ว่าเธอไม่มีร่างกายเท่านั้นเอง ถ้าคุณเดินทางผ่าน โลวเวอร์ เบลล์ ผับ (Lower Bell Pub) เพื่อตรงไปยังเมดสโตน (Maidstone) อย่าตกใจไปถ้าจะเห็นคนโบกรถข้างทางหายไปต่อหน้าต่อตาก่อนที่คุณจะถึงที่หมาย ผีผู้หญิงตนนี้เชื่อว่าน่าจะเป็น จูดิธ แลงแฮม (Judith Langham) ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนกันในวันแต่งงานของเธอเองและเธอยังคงสวมชุดแต่งงานอยู่เหมือนเดิม
1. Clinton Road – Passaic County, New Jersey
ถ้าคุณใช้ถนนเส้นนี้ในตอนกลางดึก ลองแวะไปเยี่ยมสะพานที่โค้งคนตาย (Dead Man’s Curve) เพื่อเล่นเกมส์บางอย่างสิ เกมส์ที่ว่าก็แค่ให้คุณลองขว้างเหรียญลงไปในน้ำ แล้วผีเด็กผู้ชายจะขว้างมันกลับขึ้นมาให้คุณเอง
-หมาป่าสีเทาที่มีดวงตาสีแดงจะวิ่งออกมาจากพุ่มไม้และไล่คุณ
-เหล่าคนที่บูชาซาตานจะเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดออกมาตากให้แห้ง หลังจากไปฆ่าสัตว์บูชายัญมา
-ซากปรักหักพังของปราสาทที่อยู่ใกล้ๆ กับป่า
-ถ้าคุณพบว่าตัวเองหลงเข้ามาในป่า ระวังจะโดนไล่ออกมาโดยพวกบูชาซาตานหรือพวกคูคลักแคล็นล่ะ (อ่านรายละเอียด คูคลักแคล็น เพิ่มเติม ที่นี่)
-คุณอาจจะพบกับสัตว์แปลกๆ หรือสัตว์ที่เหลือรอดจากสวนสัตว์ร้างใกล้ๆ แถวนั้น หรือจากป่าลึก รวมถึงพวกสัตว์ที่แอบหนีรอดออกมาจากที่อื่น
-ที่โค้งอันตรายซึ่งทำให้ผู้ขับรถที่ไม่ระมัดระวังเสียชีวิตมามากมาย ก็ขึ้นชื่อเรื่องหลอนๆ มากเหมือนกัน
-ปิศาจขับรถบรรทุกยินดีที่จะรับคุณเดินทางไปด้วย จากนั้นค่อยไล่ล่าคุณทีหลัง
เรื่องราวเกี่ยวกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่เรื่องขำเลย เรื่องราวเหล่านี้ล้วนได้รับการยืนยันจากคนหลากหลายกลุ่มและไม่ใช่เรื่องที่เล่าเพื่อดึงดูดความสนใจ แต่สิ่งแปลกประหลาดพวกนั้นไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนหรอก

สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?

สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
สามเหลื่ยมเบอร์มิด้ากลืนเครื่องบิน จริงหรือ?
ที่มาคลิ๊ก

ปริศนา ปิระมิดในประเทศจีน

ปิระมิดจำนวนมากมาย อ้อมล้อมไปด้วยพื้นที่ กสิกรรม


ภาพถ่ายจากเครื่องบิน

ปิระมิด ในพื้นที่ต้องห้ามของรัฐบาลจีน ณ มณฑลซานซี  กาลครั้งหนึ่ง ยังไม่นานเท่าไหร่ Hartwig Hausdorf นักสำรวจชาวเยอรมัน ซึ่งไปท่องเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่ในปี 1994 ด้วยความบังเอิญหรือจงใจก็ไม่ทราบ เขาได้แอบเดินท่อมๆเข้าไปสำรวจในบริเวณพื้นที่ต้องห้ามของรัฐบาลจีน ในมณฑลซานซี Hausdorf ได้ถ่ายภาพของโบราณสถานบางอย่างออกมา ก็อย่างที่ทุกท่านเห็นในหน้านี้แหละครับ โบราณสถานพวกนี้ทำเอา Hausdorf ถึงกับตะลึงงัน ช่ายยยครับ ใครล่ะจะเชื่อว่า ในจีนแผ่นดินใหญ่ จะมีปิระมิดจำนวนมากมายตั้งตระหง่านอยู่แบบนี้


ปิระมิดแห่งนี้ มีความสัมพันธ์อื่นใดกับปิระมิดในพื้นที่อื่นหรือเปล่า Hausdorf ได้เขียนในหนังสือของเขา ซึ่งพิมพ์ออกมาจำหน่ายในภายหลังว่า ปิระมิดมากมายเหล่านี้ มีอายุมากกว่า 4500 ปีขึ้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย ปิระมิดส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นมาจากดินเหนียว ซึ่งแข็งโป๊กอย่างกับหิน มีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งเสียหายไป คาดว่าเกิดการการกัดเซาะหรือพังทลายตามธรรมชาติ และก็มีอีกส่วนหนึ่งเหมือนกันที่เสียหายไปเพราะน้ำมือของมนุษย์ แหม.. ก็มันดันไปตั้งอยู่ในพื้นที่กสิกรรมนี่ครับ เกะกะกีดขวางแบบนี้เค้าจะเอาไว้ทำไม

บางหลังมีขนาดใหญ่พอๆกับปิระมิดในเมืองติโอติฮัวกันของชาวอินคา ปิระมิดแทบทุกหลังมีการต่อเติมวิหารเล็กๆเอาไว้บนยอดด้วยครับ ทำให้นักโบราณคดีอดฉงนฉงายไม่ได้ว่า ใครหนอ ที่มาสร้างปิระมิดเหล่านี้เอาไว้ และมันมีความสัมพันธ์อื่นใดกับปิระมิดในพื้นที่อื่นหรือเปล่า

ถ้าปิระมิดเหล่านี้ตั้งอยู่ในโลกเสรีก็ดีนะครับ อย่างน้อยก็พอไปเยี่ยมชมศึกษาได้ แต่นี่พี่แกดันมาตั้งอยู่หลังม่านไม้ไผ่อย่างจีน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยเงียบฉี่ ไม่มีถ้อยแถลงการใดๆออกมา

สำหรับท่านใดที่ศึกษาประวัติศาสตร์ หรือ มีความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมจีนดีพอ หากมีรายละเอียดเรื่องนี้กรุณาบอกกันด้วยครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นวิทยาทานสำหรับนายโซนิค และบางท่านที่อยากรู้เพิ่มเติมก็แล้วกันนะครับ

ที่มา Click

ปริศนาของโมนาลิซ่า



โมนาลิซา(Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507)เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์(Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

    
กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์
โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่
ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลง
บนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?
     ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574)
จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด      จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโม นา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้      นอก จากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)
     แม้ ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง
นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนัก ของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระ ราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"
     มุม
มอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน
"จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-
นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ 


     สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก
 






ที่มา คลิ๊ก